เจ้าชายน้อย
Antoione De Saint Exupery
ผู้แปล : อำพรรณ โอตระกูล
ผู้แปล : อำพรรณ โอตระกูล
แด่ เลออง แวร์ท
ฉันต้องขอโทษคุณหนูทั้งหลายที่ได้อุทิศหนังสือเรื่องนี้ให้แก่ผู้ใหญ่คนหนึ่ง ฉันมีเหตุผลแก้ตัวอย่างจริงจังหลายข้อทีเดียว: กล่าวคือผู้ใหญ่คนนี้เป็นเพื่อนดีที่สุดที่ฉันมีอยู่ในโลก ข้อแก้ตัวอีกข้อหนึ่งคือ: ผู้ใหญ่คนนี้สามารถเข้าใจอะไรได้ทุกอย่าง แม้แต่หนังสือสำหรับเด็ก ฉันมีข้อแก้ตัวข้อที่สามด้วยคือ: ผู้ใหญ่คนนี้อาศัยอยู่ในประเทศฝรั่งเศสที่ซึ่งเขาได้พบกับความหิวโหยและหนาวเย็น เขาต้องการคำปลอบประโลม ถ้าหากว่าข้อแก้ตัวดังกล่าวนี้ยังไม่เพียงพอ ฉันก็อยากจะอุทิศหนังสือเล่มนี้ให้แก่เด็กที่ผู้ใหญ่คนนี้เคยเป็นมาก่อน ผู้ใหญ่ทุกคนเคยเป็นเด็กมาก่อนทั้งนั้น (แต่น้อยคนนักที่จะหวนระลึกได้) ฉะนั้นฉันจึงขอแก้คำอุทิศใหม่เป็น:
แด่ เลออง แวร์ท
สมัยเมื่อเขายังเป็นเด็กน้อย
๑
เมื่อตอนอายุหกขวบ ฉันได้เห็นรูปภาพมหัศจรรย์ใจรูปหนึ่งในหนังสือเกี่ยวกับป่าดงดิบ ชื่อว่า "ประวัติชีวิตธรรมชาติ" รูปนั้นเป็นรูปงูเหลือมกำลังกลืนสัตว์ป่า นี่คือรูปลอกของภาพนั้น
ในหนังสือเขาบรรยายไว้ว่า: "งูเหลือมกลืนเหยื่อของมันเข้าไปทั้งหมดโดยไม่เคี้ยวเลย จากนั้นมันก็ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ และนอนย่อยอาหารอยู่ตลอดเวลาหกเดือน"
ฉันติดใจเรื่องการผจญภัยในป่าทึบมาก จึงได้หัดวาดภาพด้วยดินสอสีจนสำเร็จ นี่คือรูปภาพรูปแรกของฉัน:
ฉันอวดผลงานชิ้นเยี่ยมนี้แก่ผู้ใหญ่ และถามเขาว่ารูปของฉันทำให้เขากลัวไหม
พวกเขาก็ตอบว่า: "ทำไมหมวกทำให้คนกลัวเล่า?"
รูปภาพของฉันไม่ได้เป็นรูปหมวก แต่เป็นรูปงูเหลือมที่กำลังนอนย่อยช้างที่มันกลืนเข้าไป ฉันจึงต้องวาดรูปภายในงูเหลือมเพื่อให้พวกผู้ใหญ่เข้าใจ เพราะพวกนี้ต้องการคำอธิบายเสมอ รูปวาดรูปที่ ๒ ของฉันจึงเป็นดังนี้:
พวกผู้ใหญ่ได้แนะนำว่าฉันควรจะเลิกยุ่งกับการวาดภาพงูเหลือมชนิดที่เห็นด้านนอกหรือด้านในเสียและหันมาสนใจเรียนวิชาภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ คณิตศาสตร์ และไวยากรณ์แทน ดังนั้น ฉันจึงได้ละทิ้งอาชีพวาดภาพอันสูงส่งนี้เสียตั้งแต่อายุหกขวบ เพราะว่าฉันรู้สึกหมดกำลังใจที่ภาพวาดรูปแรกและรูปที่ ๒ ไม่ได้รับผลสำเร็จ พวกผู้ใหญ่ไม่เคยเข้าใจอะไรเลย เป็นเรื่องที่น่าเหนื่อยหน่ายอย่างยิ่งที่พวกเราเด็ก ๆ จะต้องอธิบายให้พวกเขาเข้าใจอยู่ตลอดเวลา
ดังนั้นฉันจึงได้เลือกอาชีพใหม่ ฉันหัดขับเครื่องบิน ฉันบินไปเกือบจะทั่วโลก และภูมิศาสตร์ก็ช่วยฉันมากทีเดียว ฉันสามารถบอกได้ทันทีว่านี่คือประเทศจีนไม่ใช่แอริโซนา วิชานี้จึงเป็นประโยชน์มากถ้าเราหลงทางในเวลากลางคืน
ตลอดชีวิตของฉัน ฉันต้องติดต่อกับคนเป็นจำนวนมาก เป็นคนที่เอาจริงเอาจังทั้งนั้น ฉันอาศัยอยู่ในบ้านกับพวกผู้ใหญ่ ฉันได้ศึกษาคนพวกนี้อย่างใกล้ชิด แต่มันก็มิได้ช่วยให้ฉันมีความเห็นต่อคนพวกนี้ในด้านที่ดีขึ้นเลย
เมื่อฉันพบใครสักคนที่ฉันเห็นว่าพอมีแววจะฉลาดหลักแหลม ฉันก็ทดสอบเขาด้วยการให้ดูรูปวาดรูปที่ ๑ ซึ่งฉันยังคงเก็บรักษาไว้ ฉันอยากทราบว่าเขาเป็นคนที่เข้าใจในสิ่งต่าง ๆ ได้ดีหรือไม่ แต่ทุกครั้งคนเหล่านั้นจะพูดว่า: "นี่คือหมวก" เมื่อเป็นอย่างนั้นฉันจึงไม่ยอมพูดถึงงูเหลือม ป่าดงดิบ หรือดวงดาวกับเขาให้เสียเวลาเลย ฉันจะปล่อยเขาไปตามวิถีทางของเขา ฉันจะพูดคุยกับเขาเรื่องไพ่บริดจ์ เรื่องกอล์ฟ เรื่องการเมือง และเรื่องเนกไท และพวกผู้ใหญ่เหล่านั้นก็จะยินดีที่ได้รู้จักกับคนพูดจาได้เรื่องราวคนหนึ่ง
๒
ดังนั้นฉันจึงดำรงชีวิตอย่างเดียวดาย ไร้คนที่จะสนทนากันเข้าอกเข้าใจอย่างแท้จริง กระทั่งเมื่อหกปีมานี้ เครื่องบินของฉันเข้าไปเครื่องเสียอยู่กลางทะเลทรายซาฮารา มีอะไรบางอย่างในเครื่องยนต์ขัดข้อง เนื่องจากไม่มีช่างเครื่องมาด้วย รวมทั้งไม่มีแม้แต่ผู้โดยสาร ฉันจึงต้องพยายามซ่อมด้วยตนเองอยู่คนเดียว เพราะฉันมีน้ำสำหรับดื่มอีกเพียงแปดวันเท่านั้น
คืนแรกฉันนอนหลับบนพื้นทราย ห่างไกลจากผู้คนนับพันไมล์ ฉันอยู่โดดเดี่ยวยิ่งกว่าคนเรือแตกรอดอยู่บนแพเคว้งคว้างกลางมหาสมุทร ดังนั้นคุณคงจะนึกออกว่าฉันตกใจเพียงใดที่ตอนในรุ่งสางก็มีเสียงเล็ก ๆ ปลุกฉันขึ้น เสียงนั้นกล่าวว่า:
"กรุณา...วาดรูปแกะให้ตัวหนึ่งเถอะ!"
"หือ!"
"ช่วยวาดรูปแกะให้ฉันตัวหนึ่งสิ…."
ฉันผวาลุกขึ้นยืนราวกับถูกสายฟ้าฟาด ยกมือขึ้นขยี้ตา มองดูอีกที ตาฉันไม่ได้ฝาดไปแน่ ฉันเห็นเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่ง ลักษณะแปลกมาก ยืนมองดูฉันอย่างเคร่งขรึม นี่คือรูปภาพที่ดีที่สุดที่ฉันจำลองขึ้นภายหลัง แน่ละ ภาพวาดของฉันไม่สวยสดเหมือนตัวจริงของเขา แต่มันก็ไม่ใช่ความผิดของฉัน พวกผู้ใหญ่ได้ทำให้ฉันหมดกำลังใจที่จะเอาดีทางวาดรูปตั้งแต่อายุได้หกขวบ และนอกจากรูปงูเหลือมชนิดเห็นด้านนอกและด้านในแล้ว ฉันก็ไม่ได้หัดวาดรูปอะไรอีกเลย
ฉันเบิ่งตามองดูเด็กน้อยนั้นอย่างประหลาดใจ อย่าลืมว่าฉันอยู่ไกลแสนไกลจากดินแดนที่มีผู้คนอาศัย ทว่าเด็กน้อยนั้นไม่มีทีท่าว่าหลงทาง เหนื่อยอ่อน หิวโหย กระหายน้ำ หรือเกรงกลัวแต่อย่างใด ไม่มีท่าทางว่าเป็นเด็กหลงทางอยู่กลางทะเลทราย ห่างไกลผู้คนนับเป็นร้อยเป็นพันโยชน์เลย ในที่สุดฉันรวบรวมสติได้ และพูดขึ้นว่า:
"แล้ว...เธอมาทำอะไรอยู่ที่นี่หละ?"
เขาก็พูดซ้ำอีกอย่างอ่อนโยนเหมือนเป็นเรื่องสำคัญว่า:
"กรุณา...วาดแกะให้ฉันตัวหนึ่งเถอะ..."
ในเมื่อเรารู้สึกว่ามีสิ่งลี้ลับเกินกว่าที่จะเข้าใจได้ เราก็ไม่กล้าที่จะขัดขืนต่อมัน โดยเฉพาะเมื่อฉันอยู่ห่างไกลจากผู้คนนับพันไมล์ และตกอยู่ในระหว่างอันตรายอาจถึงแก่ชีวิตได้นั้น ฉันจึงดึงเอากระดาษและปากกาออกมา แต่แล้วฉันนึกขึ้นมาได้ว่า ฉันเคยเรียนแต่วิชาภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ คณิตศาสตร์ และไวยากรณ์เท่านั้น ฉันจึงกล่าวกับเด็กน้อย (อย่างอารมณ์ไม่ค่อยดี ) ว่าฉันวาดไม่เป็น เขาตอบฉันว่า:
"ไม่เป็นไรหรอก วาดแกะให้ฉันตัวก็แล้วกัน"
เนื่องจากฉันไม่เคยวาดแกะเลย ฉันจึงวาดภาพหนึ่งในสองภาพที่ฉันวาดเป็นให้เขา คือภาพงูเหลือมชนิดที่เห็นด้านนอก และฉันก็ต้องตกตะลึงเมื่อได้ยินเขาตอบว่า:
"ไม่เอา! ไม่เอา! ฉันไม่อยากได้ช้างในงูเหลือม งูเหลือมน่ากลัวออก และช้างก็ตัวใหญ่เกะกะเกินไป บ้านฉันเล็กนิดเดียว ฉันอยากได้แกะ วาดแกะให้ฉันตัวหนึ่งเถอะ"
ดังนั้นฉันจึงวาดแกะให้
เขามองดูอย่างสนใจ ก่อนจะวิจารณ์ว่า:
"ไม่ใช่! แกะตัวนี้ไม่สบายมาก วาดใหม่อีกตัวสิ"
ฉันวาดใหม่:
เพื่อนของฉันยิ้มน้อย ๆ อย่างใจเย็น:
"เธอก็คงจะเห็นนะ... ว่ามันไม่ใช่แกะ แต่เป็นแพะ เพราะว่ามันมีเขา..."
ฉันวาดใหม่อีก:
แต่แล้วก็ถูกปฏิเสธอีกเช่นรูปแรก:
"ตัวนี้มันแก่เกินไป ฉันต้องการแกะที่จะยังมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกนาน"
เมื่อเป็นเช่นนี้ฉันเลยหมดความอดทน ประกอบกับต้องรีบซ่อมเครื่องยนต์ ฉันจึงเขี่ย ๆ ภาพนี้ยื่นให้เขา
และว่า:
"เอ้า นี่คือกล่อง แกะที่เธอต้องการอยู่ในนี้"
แต่ฉันก็ต้องประหลาดใจมาก ที่เห็นใบหน้าของเขาสดใสขึ้นทันที:
"เหมาะทีเดียว นี่แหละที่ฉันอยากได้! เธอคิดว่าแกะตัวนี้กินหญ้าจุไหม?"
"ทำไมล่ะ"
"เพราะว่าบ้านฉันมันคับแคบน่ะซี..."
"คงพอหรอก ฉันให้แกะเธอตัวเล็กนิดเดียว"
เขาก้มหน้าดูรูปวาด:
"มันไม่เล็กเกินไปดอก…..โอ! มันกำลังนอนหลับด้วย..."
ฉันได้ทำความรู้จักกับเจ้าชายน้อยก็ด้วยประการฉะนี้
๓
กว่าจะรู้ว่าเขามาจากไหนก็กินเวลานานโขทีเดียว เจ้าชายน้อยตั้งคำถามกับฉันมากมาย และไม่เคยสนใจฟังคำถามของฉันเลย ฉันต้องจับความเอาเองจากถ้อยคำบางประโยคที่หลุดมาโดยบังเอิญทีละเล็กทีละน้อย เช่นเมื่อเขาเห็นเครื่องบินของฉันเป็นครั้งแรก (ฉันจะไม่วาดรูปเครื่องบินละ เพราะว่ามันออกจะวาดยากเอาการอยู่) เขาถามขึ้นว่า:
"สิ่งนั้นคืออะไรนะ?"
"มันไม่ได้เป็นสิ่งของหรอก มันบินได้ ก็เครื่องบินไงล่ะ เครื่องบินของฉันเอง"
ฉันรู้สึกภูมิใจที่บอกให้เขาทราบว่าฉันบินได้ เขาร้องขึ้นว่า:
"อะไรนะ! เธอตกลงมาจากท้องฟ้ารึ!"
"ใช่" ฉันตอบอย่างเสงี่ยมเจียมตัว
"เอ! แปลกนะ..."
แล้วเจ้าชายน้อยก็หัวเราะเสียงใส ทำให้ฉันรู้สึกฉุนขึ้นมา ฉันอยากให้คนเห็นอุบัติเหตุของฉันเป็นเรื่องร้ายแรงมากกว่า เขากล่าวเสริมว่า:
"ถ้าเช่นนั้นเขาก็มาจากท้องฟ้าเหมือนกันซีนะ! เธอมาจากดาวดวงไหนล่ะ?"
ทันใดนั้นเองฉันจึงเริ่มเข้าใจอะไรได้ลาง ๆ เกี่ยวกับการปรากฏตัวอย่างลึกลับของเจ้าชายน้อย ฉันถามเขาทันทีว่า:
"ถ้าเช่นนั้นเธอมาจากดาวดวงอื่นใช่ไหม?"
เขาไม่ตอบ โคลงศีรษะช้า ๆ พลางพิจารณาเครื่องบินของฉัน:
"ถ้าขี่เจ้าเครื่องนั่นละก็ เธอคงมาจากที่ใกล้ ๆ นี่เอง..."
แล้วเขาก็ปล่อยความรู้สึกให้จมอยู่ในความนึกฝันเป็นเวลานาน แล้วจึงหยิบแกะที่ฉันวาดให้ออกมาจากกระเป๋า และนิ่งมองสมบัติชิ้นใหม่นั้น
คุณคงนึกเดาออกว่าฉันมีความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับเรื่องของ 'ดาวดวงอื่น' เพียงใด ฉันพยายามที่จะให้ทราบเรื่องมากยิ่งกว่านั้น:
"เธอมาจากไหนแน่ เด็กน้อยของฉัน? 'บ้านเธอ' น่ะอยู่ที่ไหน? เธอจะเอาแกะที่ฉันให้ไปไหน?"
หลังจากนิ่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาตอบว่า:
"การที่เธอให้กล่องแก่ฉันด้วยนี่ดีนะ ฉันจะได้ใช้เป็นบ้านของแกะมันในตอนกลางคืนไงล่ะ"
"แน่ละ และถ้าเธอทำตัวน่ารัก ฉันจะให้เชือกเธอด้วย เธอจะได้ใช้ผูกมันในตอนกลางวัน และก็หลักอีกอันหนึ่งด้วย"
คำเสนอของฉันทำให้เขาสะดุ้ง:
"ผูกมันรึ? ทำไมเธอคิดแปลกอย่างนี้!"
"แต่ถ้าเธอไม่ผูกมันนะ มันก็จะเดินไปตามใจชอบ และก็จะหลงหายไป..."
ทันใดนั้นเพื่อนของฉันก็หัวเราะเสียงใสขึ้นอีก:
"เธอจะให้มันไปที่ไหนกันล่ะ!"
"ที่ไหนก็ได้ ตรงไปข้างหน้ามัน…"
เจ้าชายน้อยจึงเข้าใจความคิดของฉัน และกล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า:
"ไม่เป็นไรหรอก บ้านฉันเล็กนิดเดียว!"
เขากล่าวต่อไปด้วยท่าทางเศร้า ๆ ว่า:
"ตรงไปข้างหน้าเราไปได้ไม่ไกลนักหรอก..."
๔
ด้วยเหตุนี้ฉันจึงทราบความสำคัญข้อที่สองคือ: ดวงดาวที่เขาอยู่นั้นไม่ใหญ่กว่าบ้านเท่าไร!
สิ่งนี้มิได้ทำให้ฉันประหลาดใจเท่าใดนัก ฉันทราบดีว่านอกจากดาวเคราะห์ใหญ่ ๆ อย่างเช่น โลก ดาวพฤหัสบดี ดาวอังคาร ดาวพระศุกร์ซึ่งเราตั้งชื่อให้แก่มันแล้ว ยังมีดาวดวงอื่น ๆ อีกนับพันดวง ซึ่งเล็กมาก จนบางดวงแทบมองไม่เห็นแม้จะใช้กล้องโทรทัศน์ส่องดู เมื่อนักดาราศาสตร์ค้นพบดาวดวงใหม่ขึ้นมา เขาก็จะให้ชื่อมันเป็นลำดับตัวเลข เช่น: "ดาวเคราะห์น้อยที่ ๓๒๕๑"
ฉันมีเหตุผลที่น่าเชื่อว่าดาวดวงที่เจ้าชายน้อยจากมาก็คือ ดาวดวงที่ บี ๖๑๒ ดาวดวงนี้นักดาราศาสตร์ชาวตุรกีส่องกล้องพบเป็นครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๒
เขาได้เสนอการค้นพบนี้แก่สภาดาราศาสตร์ระหว่างชาติ แต่ก็ไม่มีใครเชื่อเขา เนื่องจากการแต่งกายของเขาแปลกเกินไป พวกผู้ใหญ่ก็เป็นแบบนี้แหละ
โชคดีสำหรับชื่อเสียงของดาวดวงนี้ เพราะต่อมานักเผด็จการตุรกีได้บังคับให้ประชาชนได้แต่งกายตามแบบยุโรป ถ้าไม่ปฏิบัติตามจะมีโทษถึงประหารชีวิต นักดาราศาสตร์ผู้นี้ได้เสนอการค้นพบของเขาอีกครั้งในปี พ.ศ. ๒๔๖๓ โดยแต่งตัวอย่างสง่าผ่าเผย และคราวนี้ทุกคนก็เชื่อเขา
ที่ฉันเล่าให้คุณฟังถึงรายละเอียดของดาวดวงที่ บี ๖๑๒ และที่ฉันบอกหมายเลขของดาวดวงนี้ก็เพราะพวกผู้ใหญ่ คนพวกนี้เขาชอบตัวเลข เมื่อคุณเล่าถึงเพื่อนใหม่ของคุณ พวกผู้ใหญ่จะไม่ถามเรื่องสำคัญ ๆ จากคุณเลย
เขาจะไม่มีวันถามว่า:
"เสียงของเขาเป็นอย่างไร?"
"เขาชอบการเล่นชนิดใด?"
"เขาสะสมผีเสื้อรึเปล่า?" แต่เขาจะถามคุณว่า:
"เขาอายุเท่าไรนะ?"
"เขามีพี่น้องกี่คน?"
"เขาหนักเท่าไร?"
"พ่อของเขามีรายได้เท่าไร?"
และเพียงเท่านี้เองที่พวกเขาเข้าใจว่าเขาได้รู้จักกับคนหนึ่งแล้ว
ถ้าคุณบอกกับพวกผู้ใหญ่ว่า "ฉันเห็นบ้านก่อด้วยอิฐแดงหลังหนึ่ง มีดอกกล้วยไม้สีขาวม่วงอยู่ที่หน้าต่าง และมีนกพิราบเกาะอยู่บนหลังคา…" คนพวกนั้นจะไม่มีวันนึกภาพบ้านหลังนั้นออกเป็นอันขาด คุณจะต้องบอกเขาว่า: "ฉันเห็นบ้านหลังหนึ่งราคาร้อยล้าน" พวกเขาจะร้องขึ้นว่า: "แหม สวยอะไรอย่างนั้น!"
ในทำนองเดียวกันถ้าคุณบอกกับเขาว่า: "ข้อพิสูจน์ว่าเจ้าชายน้อยมีตัวตนจริงก็คือว่าเขาเป็นคนน่ารักมีชีวิตชีวา หัวเราะเก่ง และเขาอยากได้แกะตัวหนึ่ง และเมื่อคนอยากได้แกะตัวหนึ่ง ย่อมเป็นข้อพิสูจน์ว่าคนนั้นต้องมีจริง"
พวกเขาก็จะยักไหล่และหาว่าคุณพูดเป็นเด็ก ๆ! แต่ถ้าคุณพูดกับเขาว่า: "เจ้าชายน้อยมาจากดาวเคราะห์น้อยเลขที่ บี ๖๑๒" เมื่อนั้นแหละเขาจึงจะเชื่อและเลิกไต่ถามคุณต่อไป พวกเขามีนิสัยเช่นนั้นอย่าได้ไปถือสาเลย พวกเด็ก ๆ จำเป็นต้องยอมลงให้ผู้ใหญ่อย่างนี้แหละ
แต่ว่าแน่ละ พวกเราซึ่งเข้าใจชีวิตดี เราจะหัวเราะเยาะตัวเลขเสียด้วยซ้ำ! ฉันรักที่จะเริ่มต้นเล่าเรื่องนี้เหมือนอย่างเล่านิทานมากกว่า ฉันอยากจะเล่าว่า:
"ครั้งหนึ่ง ยังมีเจ้าชายน้อยองค์หนึ่ง อาศัยอยู่ที่ดาวดวงซึ่งโตกว่าเขานิดเดียว เขาอยากมีเพื่อน…" สำหรับผู้ที่เข้าใจชีวิต เรื่องที่ฉันเล่าอย่างนี้ดูจะเป็นจริงเป็นจังมากกว่า
แต่เนื่องจากฉันไม่อยากจะให้ใครเขาอ่านหนังสือที่ฉันเขียนขึ้นอย่างเล่น ๆ เพราะฉันรู้สึกปวดร้าวใจมากเมื่อเล่าความหลังทั้งหลายแหล่เหล่านี้ เพื่อนของฉันได้จากฉันไปพร้อมกับแกะของเขาหกปีเข้านี่แล้ว
ที่ฉันพยายามเขียนถึงเขาขณะนี้ ก็เพื่อว่าฉันจะได้ไม่ลืมเขาเสีย เป็นเรื่องที่น่าสลดใจมาก ถ้าเราลืมเพื่อน ทุกคนไม่ได้มีเพื่อนเสมอไป ถ้าฉันลืมเขา ฉันก็อาจจะกลายเป็นพวกผู้ใหญ่ที่ไม่สนใจอะไรนอกจากตัวเลขก็ได้
เพื่อมิให้เป็นเช่นนี้ ฉันจึงได้ไปซื้อสีและดินสอมา มันออกจะยากสักหน่อยที่จะมาหัดวาดใหม่ตอนอายุปูนนี้ ในเมื่อฉันก็เคยวาดเพียงรูปงูเหลือมชนิดเห็นด้านนอกและชนิดเห็นด้านในเมื่อตอนอายุหกขวบเท่านั้น! แต่ว่าฉันก็จะพยายามวาดให้เหมือนที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าจะไม่แน่ใจนักก็ตาม ฉันอาจจะวาดรูปหนึ่งได้เหมือน แต่อีกรูปหนึ่งไม่เหมือนเลย ฉันคงจะกะขนาดผิดด้วย ในรูปนี้เจ้าชายน้อยตัวโตเกินไป
และในอีกรูปหนึ่งกลับเล็กเกิน ฉันไม่รู้ว่าจะลงสีเสื้อของเขาเป็นสีอะไรดี ฉันจึงมะงุมมะงาหราทำไป ดีบ้าง ไม่ดีบ้าง บางคราวก็อาจจะลืมรายละเอียดสำคัญไป แต่ก็ยกโทษให้ฉันเถิด เพื่อนของฉันไม่เคยอธิบายอะไรแก่ฉันเลย เขาคงคิดว่าฉันเหมือนกับเขากระมัง แต่ว่าตัวฉันเองก็ออกจะเสียใจที่ไม่สามารถมองทะลุกล่องเห็นลูกแกะได้ ฉันคงจะเหมือนกับผู้ใหญ่ทั้งหลาย ฉันคงแก่ตัวลงนั่นเอง
๕
ฉันเรียนรู้เรื่องราวของดาวดวงนี้มากขึ้นทุกวัน รู้ถึงการที่เจ้าชายน้อยต้องจากมันมา รู้ถึงการเดินทาง ความรู้เหล่านี้ค่อยมาปะติดปะต่อกันอย่างช้า ๆ แล้วแต่ว่าความคิดจะชักนำไป สำหรับในวันที่สาม ฉันได้ทราบเรื่องเศร้าเกี่ยวกับต้นไทร
ครั้งนี้ก็สืบเนื่องมาจากลูกแกะอีกเช่นกัน เพราะว่าในทันใดเจ้าชายน้อยได้ถามฉันด้วยท่าทางสงสัยเต็มที่:
"จริงหรือที่ว่าลูกแกะมันกินต้นผักหนาม?"
"จริงทีเดียว"
"โอ! ฉันดีใจจังเลย"
ฉันไม่เข้าใจว่า ที่แกะกินต้นผักหนามนั้นสำคัญอย่างไร แต่เจ้าชายน้อยเสริมขึ้นว่า:
"ถ้าอย่างนั้นมันก็กินต้นไทรด้วยน่ะซี?"
ฉันรีบตั้งข้อสังเกตขึ้นว่า ต้นไทรนั้นไม่ได้เหมือนต้นผักหนาม หากแต่เป็นต้นไม้ใหญ่เหมือนวัด ถึงแม้จะมีเกณฑ์เอาช้างมาโขลงหนึ่งก็ไม่สามารถกินเจ้าต้นไม้ชนิดนี้หมดต้นได้
การพูดถึงช้างทั้งโขลงทำให้เจ้าชายน้อยหัวเราะชอบใจ:
"เห็นท่าจะต้องให้ช้างมันยืนต่อตัวกัน..."
แต่เขาก็หวนกลับมาพูดเรื่องเดิมอย่างฉลาดว่า:
"เจ้าต้นไทรนี่ ก่อนมันจะโต มันจะต้องเริ่มจากต้นเล็ก ๆ ก่อนใช่ไหม"
"ถูกทีเดียว! แต่ทำไมเธอถึงอยากให้แกะของเธอกินต้นไม้ชนิดนี้ด้วยเล่า?"
เขาตอบฉันว่า: "ไม่เห็นน่าถามเลย!" เขาพูดเหมือนกับว่าเป็นสิ่งที่เห็นชัดเจนแล้ว ฉันจึงต้องใช้สติปัญญาความคิดเพื่อเข้าใจปัญหานี้เอาเอง
คงจะเป็นอย่างนี้แน่ว่า บนดาวที่เจ้าชายน้อยอาศัยอยู่นั้นก็มีลักษณะคล้ายกับดาวอื่น คือมีทั้งหญ้าที่ดี และหญ้าเลว ๆ เมล็ดพันธุ์ที่ดีก็จะให้หญ้าดี เมล็ดพันธุ์ที่ไม่ดีก็จะให้หญ้าไม่ดี แต่ว่าเมล็ดพันธุ์นี้เรามองไม่เห็น มันนอนหลับอย่างเงียบเชียบอยู่ใต้ดินจนกระทั่งมันอยากจะตื่นขึ้น กิ่งก้านของมันจะค่อย ๆ เหยียดตัวทะลุดินออกมาอย่างเหนียมอายออกแสวงหาแสงแดด ถ้ามันเป็นกิ่งก้านของต้นหัวไชเท้าหรือต้นกุหลาบเราก็ปล่อยให้มันงอกขึ้นตามใจชอบ แต่ถ้ามันเป็นต้นไม้เลว ๆ เราก็จะถอนทิ้งทันทีเมื่อได้เห็น ฉะนั้นบนดาวของเจ้าชายน้อยคงมีเมล็ดพันธุ์เลว ๆ เป็นแน่... และคงเป็นเมล็ดพันธุ์ต้นไทรนี่เอง ดินแดนบนดวงดาวนั้นคงจะถูกรุกรานด้วยเจ้าต้นไทร และถ้าขืนปล่อยไว้ก็จะกำจัดไม่ได้ มันจะขึ้นรุงรังเต็มดวงดาว รากของมันจะชอนไชลงไปในดิน ถ้าดาวดวงเล็กมากและถ้าต้นไทรมีมากมันก็จะระเบิดดาวได้
"เรื่องนี้เป็นปัญหาทางระเบียบแบบแผน" เจ้าชายน้อยกล่าวกับฉันภายหลัง "เมื่อเราแต่งตัวเสร็จในตอนเช้าเราต้องดูแลความสะอาดของดวงดาวของเราด้วย เราจำเป็นต้องกำจัดต้นไทรอย่างสม่ำเสมอโดยทันทีที่เราเห็นมันขึ้นแทรกอยู่ในกอกุหลาบ ซึ่งมันก็ดูคล้ายกันมากเมื่อตอนเป็นต้นอ่อนอยู่ ออกเป็นงานที่น่าเบื่อหน่ายอยู่หรอก แต่ก็ง่ายมาก"
และแล้ววันหนึ่งเขาก็แนะนำฉันให้วาดรูปหนึ่งขึ้น เพื่อให้เด็ก ๆ เห็นและจำได้แม่นยำเป็นคติสอนใจ "เพราะว่าถ้าหากเขาเดินทาง" เจ้าชายน้อยกล่าว "รูปนี้จะเป็นประโยชน์แก่เขา บางครั้งการผลัดวันประกันพรุ่งงานของตนนั้นไม่มีการเสียหายแต่อย่างใด แต่ถ้าเป็นเรื่องเจ้าต้นไทรละก็เป็นเรื่องมหันตภัยทีเดียว
ฉันเคยเห็นดวงดาวหนึ่งซึ่งมีแต่คนขี้เกียจอาศัยอยู่ เขาก็ปล่อยปละละเลยต้นไม้สามต้น…"
จากคำบอกเล่าของเจ้าชายน้อย ฉันก็ได้วาดรูปดาวดวงนั้น อันที่จริงฉันก็ไม่ชอบตั้งตนเป็นนักสอนศีลธรรม แต่อันตรายจากต้นไทรซึ่งน้อยคนจะรู้นั้น และการเสี่ยงต่ออันตรายนี้ของบุคคลที่หลงไปในโลกอื่นเป็นสิ่งสำคัญยิ่ง จึงทำให้ฉันยอมลงทุนตั้งตนเป็นผู้สอน ฉันกล่าวย้ำ: "เด็ก ๆ เอ๋ย! จงพึงระวังต้นไทร!" ทั้งนี้เพื่อเตือนเพื่อน ๆ ของฉันถึงอันตรายที่เขาเฉียดเข้าไปใกล้นานมาแล้ว เช่นเดียวกับตัวฉันเอง โดยไม่ทราบถึงอันตรายนั้นเลย ฉันได้พยายามวาดรูปขึ้นอย่างประณีตบรรจง บทเรียนที่ฉันให้นี้คงมีผลบ้างเป็นแน่ คุณคงจะสงสัยละกระมังว่า: ทำไมไม่มีรูปอื่นในหนังสือเล่มนี้ที่ใหญ่โตเอาการเช่นรูปต้นไทร
คำตอบนั้นแสนจะธรรมดา คือว่า: ฉันพยายามแล้วแต่ไร้ผลน่ะสิ ส่วนรูปนั้นฉันได้รับแรงบันดาลจากความรู้สึกว่าเป็นเรื่องด่วน
๖
เจ้าชายน้อยเอ๋ย! ในที่สุดฉันก็ค่อย ๆ เข้าใจชีวิตที่เศร้าสร้อยของเขา นานทีเดียวที่เขามีเพียงอาทิตย์ยามอัสดงเท่านั้นไว้ชมเป็นสิ่งเพลิดเพลินใจ ฉันเพิ่งทราบรายละเอียดใหม่นี้ในเช้าวันที่สี่ เมื่อเขาเอ่ยบอกฉันว่า:
"ฉันชอบตอนพระอาทิตย์ตกดินจังเลย ไปดูพระอาทิตย์ตกกันเถอะ..."
"แต่ต้องคอยหน่อยนะ..."
"คอยอะไร?"
"คอยให้ดวงอาทิตย์ตกอย่างไรเล่า"
เขามีทีท่าประหลาดใจในชั้นแรก และแล้วก็หัวเราะขันตัวเขาเอง ก่อนจะกล่าวขึ้นว่า:
"ฉันนึกว่าอยู่ที่บ้านฉันเองอยู่เรื่อย!"
จริงทีเดียว ถ้าที่สหรัฐฯ เป็นเวลาเที่ยงวัน เราทราบดีว่าดวงอาทิตย์ก็กำลังจะตกที่ฝรั่งเศส ถ้าเพียงเราจะสามารถไปยังฝรั่งเศสได้ภายในนาทีเดียว เราก็จะได้เห็นอาทิตย์กำลังอัสดง น่าเสียดายที่ฝรั่งเศสอยู่ห่างไกลเกินไป แต่บนดาวดวงเล็กของเขา เขาเพียงแต่เลื่อนเก้าอี้ไปสองสามก้าวเท่านั้น เขาก็จะสามารถชมอาทิตย์อัสดงได้ตามประสงค์ทุกครั้งไป……
"ในวันหนึ่ง ๆ ฉันเห็นดวงอาทิตย์ตกตั้งสี่สิบสามครั้ง!"
และอีกครู่หนึ่งต่อมาเขาก็กล่าวเสริมว่า:
"เธอรู้ไหม…ในยามแสนเศร้า คนเราชอบดูอาทิตย์อัสดง..."
"ในวันที่เธอดูอาทิตย์อัสดงถึงสี่สิบสามครั้ง เธอคงเศร้ามากสินะ?" แต่เจ้าชายน้อยมิได้ตอบแต่อย่างใด
๗
วันที่ห้า ความลับแห่งชีวิตเจ้าชายน้อยก็เผยออก ทั้งนี้เนื่องจากเรื่องแกะอีกตามเคยที่ทำให้ฉันทราบชีวิตของเขา เขาถามฉันขึ้นทันทีโดยไม่ได้เกริ่นล่วงหน้าเหมือนเป็นผลจากปัญหาที่ขบคิดอยู่เงียบ ๆ มานาน:
"แกะนี่ ถ้ามันกินต้นผักหนาม มันจะกินดอกไม้ด้วยไหมนะ?"
"แกะมันกินดะทุกสิ่งที่มันพบ"
"แม้แต่ดอกไม้ที่มีหนามรึ?"
"ใช่ แม้แต่ดอกไม้ที่มีหนาม"
"ถ้าเช่นนั้น หนามมีไว้ทำไมกัน?"
ฉันก็ไม่ทราบเหมือนกัน ขณะที่ฉันกำลังวุ่นกับการไขคลายเกลียวนอต ซึ่งขันติดแน่นเกินไปในเครื่องยนต์ของฉัน ฉันกำลังกลุ้มใจมาก เพราะว่าการที่เครื่องเสียเริ่มจะเป็นเรื่องใหญ่ อีกทั้งปัญหาเรื่องน้ำดื่มที่นับวันจะร่อยหรอลงทำให้ฉันวิตกมากที่สุด
"หนามมีไว้ทำไมนะ?"
เจ้าชายน้อยไม่เคยล้มเลิกปัญหาหากเขาตั้งขึ้นมาแล้ว ฉันกำลังโมโหกับเจ้านอตจึงตอบไปชุ่ย ๆ ว่า:
"หนามน่ะรึ ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย เป็นเพราะเจ้าดอกไม้มันใจร้ายเท่านั้นเอง!"
"โอ!"
แต่หลังจากเงียบไปครู่เขาก็พูดใส่หน้าฉันอย่างแค้นเคืองว่า:
"ฉันไม่เชื่อเธอหรอก! ดอกไม้มันแสนจะอ่อนแอ มันไร้เดียงสา มันช่วยตัวมันเองเท่าที่จะทำได้ มันคิดว่า
มันร้ายกาจพอด้วยการมีหนามป้องกัน…"
ฉันไม่ได้ตอบว่ากระไร ขณะนั้นเองฉันนึกในใจว่า: 'ถ้าเจ้านอตตัวนี้ยังดื้อต่อไป ฉันจะทุบมันให้แลกละเอียดเลย' เจ้าชายน้อยก็รบกวนความคิดฉันอีกครั้งหนึ่ง:
"และเธอเชื่อว่า ดอกไม้น่ะ…"
"พอที! พอที! ฉันไม่ได้เชื่ออะไรเลย! ฉันตอบส่ง ๆ ไปยังงั้นเอง ฉันกำลังทำธุระสำคัญอยู่นะ!"
เขามองดูฉันอย่างตกตะลึง
"เรื่องสลักสำคัญ!"
เขาเห็นฉันถือค้อนในมือ นิ้วมือดำไปด้วยน้ำมันหล่อลื่น และก้มหน้าก้มตาง่วนอยู่กับของที่เขาเห็นว่าแสนจะน่าเกลียด
"เธอพูดกับฉันเหมือนพวกผู้ใหญ่เขาพูดกัน!"
คำพูดนั้นทำให้ฉันรู้สึกอาย และเขาได้เสริมต่ออย่างไร้ความปรานี:
"เธอปนกันหมด...เธอทำทุกสิ่งให้สับสนหมด!"
ดูท่าทางเขากระวนกระวายใจ เขาสลัดผมสีทองของเขาตามสายลม:
"ฉันรู้จักดาวอยู่ดวงหนึ่งที่มีนายแดงคล้ำอาศัยอยู่ เขาไม่เคยได้ดมดอกไม้เลย เขาไม่เคยแม้แต่จะมองดวงดาว เขาไม่เคยรักใครเลย เขาไม่เคยทำสิ่งใด นอกจากคิดเลข และตลอดวันเขาพูดซ้ำ ๆ ซาก ๆ เหมือนเธอว่า: 'ฉันเป็นคนเอาการเอางาน! ฉันเป็นคนเอาจริงเอาจัง!' และนี่ทำให้เขาตัวพองด้วยความเย่อหยิ่ง แต่เขาไม่ใช่มนุษย์หรอก เขาเป็นเห็ด!"
"อะไรนะ?"
"เห็ด!"
ตอนนี้เจ้าชายน้อยหน้าซีดเผือดด้วยอารมณ์โกรธ
"ดอกไม้ผลิตหนามมาล้าน ๆ ปีแล้ว และแกะก็ได้กินดอกไม้มาตลอดระยะเวลาอันยาวนานนั้นด้วย ถ้าเช่นนั้น มันเป็นการไร้สาระละหรือที่เราจะพยายามหาสาเหตุกันว่า ดอกไม้สร้างหนามขึ้นมาเพื่อประโยชน์อันใด? สงครามระหว่างแกะและดอกไม้ไม่มีความสำคัญเชียวหรือ? ปัญหานี้ไม่น่าขบคิดและสำคัญกว่าเรื่องบวกเลขของนายแดงอ้วนนั้นหรอกรึ? และถ้าฉันรู้จักดอกไม้ดอกหนึ่ง ดอกเดียวที่ไม่มีในที่อื่นใดอีก นอกจากโลกของฉัน และถ้าเจ้าแกะน้อยสามารถทำให้ดอกไม้นั้นอันตรธานไปได้ในเช้าวันหนึ่ง โดยที่เจ้าแกะนั้นก็ไม่รู้ว่ามันได้กระทำอะไรลงไป เรื่องนี้ยังเป็นเรื่องไม่สำคัญอีกหรือนี่!"
เขาหน้าแดงก่ำและกล่าวต่อไปอีก:
"ถ้าใครคนหนึ่ง รักดอกไม้ดอกหนึ่งซึ่งมีเพียงดอกเดียวเท่านั้นในดวงดาวนับพันล้านดวง เพียงแต่เขาได้มองดูมันเท่านั้นก็ทำให้เขามีความสุขพอแล้ว เขาจึงรำพึงกับตนเองว่า: 'ดอกไม้ของฉันอยู่ที่นั่น บนดวงดาวดวงหนึ่งนั้น….' แต่ถ้าแกะกินดอกไม้นั้นไปเสีย ก็เปรียบเสมือนดวงดาวทุกดวงดับพรึบพร้อมกันในสายตาของเขาผู้นั้น! เรื่องนี้เป็นเรื่องไม่สลักสำคัญรึ!"
เขาไม่สามารถกล่าวอะไรต่อไปอีกได้ เขาสะอื้นฮักปล่อยโฮออกมา กลางคืนเข้าครอบคลุม ฉันวางมือจากเครื่องไม้เครื่องมือ ฉันไม่ยี่หระแล้วเจ้าค้อนของฉัน เจ้าตัวนอต หรือความกระหายน้ำ และแม้แต่ความตาย เพราะว่าบนดาวดวงหนึ่ง บนโลก โลกของฉันมนุษย์เรานี้เองแหละ ฉันมีเจ้าชายน้อยที่จะต้องปลอบโยน! ฉันโอบเขาในวงแขน กล่อมเขา ฉันบอกกับเขาว่า:
"ดอกไม้ที่เธอรักไม่ได้อยู่ในระหว่างอันตรายเลย…ฉันจะวาดปลอกปากให้มัน ให้เจ้าแกะน้อยของเธอ…และฉันจะวาดเครื่องป้องกันตัวให้ดอกไม้ของเธอด้วย…ฉัน…" ฉันไม่รู้จะพูดอะไรอีก ฉันรู้สึกตัวออกจะขัดเขิน ไม่รู้ว่าจะเข้าถึงเขาได้อย่างไร ไม่รู้ว่าจะปลอบเขาอย่างไรดี... เพราะว่าดินแดนแห่งน้ำตานั้นเป็นแดนแสนจะลี้ลับ
๘
ทว่าฉันก็รู้จักดอกไม้นั้นดีขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว บนโลกของเจ้าชายน้อยนั้น มีดอกไม้ธรรมดา ๆ ชนิดมีกลีบชั้นเดียว ไม่ใหญ่โตกินที่มาก และไม่รบกวนใครทั้งสิ้น มันงอกขึ้นเช้าวันหนึ่งท่ามกลางต้นหญ้า และแล้วมันก็เหี่ยวเฉาไปในตอนเย็น แต่สำหรับเจ้าดอกไม้ดอกนั้นมันเกิดขึ้นจากเมล็ดซึ่งไม่รู้ว่ามาจากที่ใด เจ้าชายน้อยได้ดูแลต้นไม้ที่งอกขึ้นใหม่นี้อย่างเอาใจใส่ เพราะว่าใบของมันแตกต่างจากใบของต้นอื่น ๆ มันอาจจะเป็นต้นไทรชนิดใหม่ก็ได้ แต่ต้นไม้นั้นหาได้เติบโตต่อไปไม่ มันเริ่มเตรียมออกดอก เจ้าชายน้อยเฝ้าดูตุ่มนั้นโตขึ้น ๆ สำนึกดีว่าเมื่อมันบานออก จะต้องเป็นปรากฏการณ์ที่มหัศจรรย์ แต่เจ้าดอกไม้ก็ไม่หยุดยั้งแค่นั้น มันเตรียมที่จะเป็นดอกไม้สวยภายใต้ใบเขียว มันเลือกสีสันของมันอย่างพิถีพิถัน มันแต่งตัวอย่างช้า ๆ วางกลีบลงอย่างพอเหมาะพอเจาะ มันไม่ยับยู่ยี่ออกมาอย่างเจ้าดอกโกเกอลิโก มันต้องการปรากฏตัวก็ต่อเมื่อมันงามพร้อมแล้ว แน่ละ! เจ้าดอกไม้นี้ก็ช่างรักสวยรักงามจริง! การแต่งตัวของมันกินเวลาวันแล้ววันเล่า และแล้วเช้าวันหนึ่งตอนรุ่งอรุณพอดี มันก็แย้มกลีบปรากฏโฉม
ทั้งที่แต่งตัวมาอย่างพิถีพิถัน ดอกไม้นั้นก็พูดขึ้นพลางหาวไปด้วย:
"อา! ฉันยังตื่นไม่สนิทดีเลย... ฉันต้องขอโทษด้วยนะ...
ฉันยังไม่ได้หวีผมให้เรียบร้อยด้วย ผมเผ้าก็ยุ่งเหยิงอยู่…"
เจ้าชายน้อยมิอาจสามารถอดกลั้นความนิยมชมชื่นไว้ได้:
"เธอสวยอะไรเช่นนี้!"
"จริงไหมล่ะจ๊ะ" ดอกไม้ตอบอย่างนุ่มนวล "และฉันก็เกิดพร้อมกับดวงอาทิตย์ขึ้น…"
เจ้าชายน้อยตระหนักดีว่าดอกไม้นั้นหาได้มีความเสงี่ยมเจียมตนไม่ แต่เธอก็สวยจับใจเขาทีเดียว!
"ฉันคิดว่าถึงเวลาอาหารเช้าแล้วสินะ" ดอกไม้กล่าวขึ้นต่อมาในไม่ช้า "คุณจะกรุณาคิดถึงฉันบ้างสักหน่อย……."
และเจ้าชายน้อยทั้ง ๆ ที่ยังงง ๆ ได้ไปหากระป๋องตักน้ำมาสนองความต้องการของเจ้าหล่อน
เช่นนี้เองที่ดอกไม้ได้ทรมานจิตใจเจ้าชายน้อยแล้วด้วยความฟุ้งเฟ้อหลงตนซึ่งแสนจะเข้าใจยาก เป็นต้นว่า ในวันหนึ่ง เมื่อพูดถึงหนามของมัน ดอกไม้ก็กล่าวขึ้นว่า:
"เสือน่ะรึ ให้มันมาได้เลย พร้อมทั้งกรงเล็บของมัน!"
"บนโลกของฉันไม่มีเสือหรอก" เจ้าชายน้อยแย้ง "และเสือก็ไม่กินดอกไม้ใบหญ้าด้วย"
"ฉันไม่ได้เป็นหญ้านี่" ดอกไม้กล่าวตอบอย่างเย็นชา
"ยกโทษให้ฉันเถิด…."
"ฉันไม่กลัวเสือแม้แต่นิดเดียว แต่ว่าฉันกลัวลม เธอไม่มีม่ากั้นลมหรอกรึ?"
"เธอเกลียด กลัวลม….เธอโชคไม่ดีเลยนะ" เจ้าชายน้อยตั้งข้อสังเกต "ดอกไม้ดอกนี้รู้สึกวุ่นวายเอาการ..." "ในตอนเย็นเธอต้องหาอะไรมาคลุมฉันนะ บนโลกของเธออากาศหนาวจังเลย มันตั้งไม่เหมาะทำเล สู้ที่ที่ฉันมาไม่ได้….."
แต่เธอก็ชะงักแค่นั้น เพราะว่าเธอจากมาในสภาพของเมล็ด เธอจึงไม่มีโอกาสได้รู้จักโลกอื่น ๆ เธอไอแก้ขวยสองสามทีเมื่อเห็นว่าตนเองเผลอพูดปดให้คนอื่นจับได้ และหันไปไล่เบี้ยเอากับเจ้าชายน้อย:
"เรื่องม่านกันลมว่าอย่างไรจ๊ะ?"
"ฉันกำลังจะไปหาอยู่ทีเดียว แต่เห็นเธอกำลังพูด!"
ดังนั้นเธอยิ่งไอหนักขึ้น เพื่อให้เจ้าชายน้อยเกิดความรู้สึกสำนึกผิด
ด้วยเหตุดังกล่าวนี้เองเจ้าชายน้อยจึงเริ่มระแวงดอกไม้ ทั้ง ๆ ที่เขามีความรักและหวังดีต่อมัน เขาเอาจริงเอาจังต่อคำพูดไร้สาระของมันเกินไป และรู้สึกเป็นทุกข์มาก
"ฉันไม่ควรไปฟังเธอเลย" เจ้าชายน้อยสารภาพต่อฉันในวันหนึ่ง "เราต้องไม่ฟังเรื่องดอกไม้บ่น เราควรสนใจแต่เพียงชมเชยมันและดมมันเท่านั้น ดอกไม้ของฉันทำให้โลกของฉันหอมหวน แต่ฉันไม่รู้จักปลาบปลื้มและรู้สึกแต่เพียงแค่นั้น
เรื่องเกี่ยวกับกรงเล็บยังกวนใจฉันอยู่ เรื่องนั้นทำให้ฉัน..."
เขาเล่าความในใจต่อไปว่า:
"ฉันไม่เข้าใจอะไรเสียเลย! ในตอนนั้นฉันควรจะรู้จักตัดสินเธอจากการกระทำของเธอ มิใช่จากคำพูดของเธอ เธอทำให้โลกของฉันหอมหวนและแจ่มใส ฉันจึงไม่ควรหนีจากเธอมาเลย! ฉันควรจะเห็นความอ่อนหวานที่ซ่อนอยู่ภายใต้มารยาเธอ ดอกไม้ก็มีอารมณ์หวั่นไหวง่ายเช่นนี้เสมอแหละ! แต่ฉันก็อ่อนหัดเกินกว่าที่จะรู้จักรัก"
๙
ฉันเข้าใจว่าเจ้าชายน้อยได้ฉวยโอกาสย้ายถิ่นที่อยู่ของนกป่าเพื่อการหนีมาคราวนี้
ในตอนเช้าก่อนที่จะจากไป เขาจัดโลกของเขาให้เป็นระเบียบ โดยจัดแจงขูดเขม่าไฟที่ปล่องภูเขาไฟซึ่งกำลังพ่นควัน เขามีภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นสองลูก นับว่าเหมาะสำหรับใช้เป็นที่อุ่นอาหารเช้ามาก เขายังมีภูเขาไฟที่ดับแล้วอีกลูกหนึ่งด้วย และอย่างที่เขากล่าวว่า "ไม่มีวันละที่เราจะรู้ว่าอะไรเกิดขึ้น!" ดังนั้นเขาจึงขุดปล่องภูเขาที่ดับนั้นด้วย ทั้งนี้เนื่องจากว่าถ้าขูดเขม่าดี ๆ ภูเขาไฟจะคุกรุ่นอยู่โดยสม่ำเสมอไม่รุนแรง ภูเขาไฟก็เปรียบเสมือนปล่องไฟในบ้าน แต่ทว่าบนพื้นโลกของเรา มนุษย์เราเล็กเกินกว่าที่จะไปขูดเขม่าภูเขาไฟได้ ด้วยเหตุฉะนี้ภูเขาไฟจึงก่อความเสียหายให้เรามากมาย
เจ้าชายน้อยถอนต้นหญ้าซึ่งเพิ่งงอกขึ้นมาอย่างเศร้าสร้อย เขาคิดว่าเขาไปคราวนี้จะไม่กลับมาอีก แต่งานประจำวันเหล่านี้มันช่างมีความหมายต่อเจ้าชายน้อย สำหรับเช้าวันนี้ และเมื่อเขาไปรดน้ำดอกไม้เป็นครั้งสุดท้าย ตระเตรียมหาครอบแก้วที่บังแดดลมให้หล่อน เขาก็อยากจะร่ำไห้เป็นที่สุด
"ลาก่อน" เขากล่าวขึ้นกับดอกไม้
แต่หล่อนมิได้ตอบ
"ลาก่อน" เขากล่าวซ้ำ
ดอกไม้กระแอมไอ แต่มิใช่เพราะเจ้าหล่อนเป็นหวัดหรอก
"ฉันนี่โง่เขลาจริง ๆ" หล่อนพูดขึ้นในที่สุด " ฉันขอโทษด้วยนะ จงพยายามทำตัวให้มีความสุขเถิด"
เจ้าชายน้อยรู้สึกแปลกใจที่ไม่มีการค่อนขอดติเตียนเหมือนเช่นเคย เขาจึงนิ่งงันไป ถือฝาครอบแก้วค้างอยู่ เขาไม่เข้าใจความอ่อนหวานอย่างสงบเงียบนี้
"ฉันรักเธอจริง ๆ นะ" ดอกไม้กล่าวกับเขา "เธอไม่รู้หรอกรึ นี่เป็นความผิดของฉันเอง แต่ไม่เป็นไร อันที่จริงเธอเองก็โง่พอ ๆ กับฉันแหละ พยายามทำตนให้เป็นสุขเถิด... ทิ้งเจ้าฝาครอบแก้วเสียเถอะ ฉันไม่ต้องการมันสักหน่อย"
"แต่ลม….."
"ฉันไม่ได้เป็นหวัดรุนแรงถึงขั้นนั้นหรอกจ้ะ... อากาศเย็น ๆ ตอนค่ำคืนทำให้ฉันสดชื่น ฉันเป็นดอกไม้นะ"
"แต่พวกสัตว์ร้าย……"
"ฉันก็ต้องทนพวกตัวหนอนบ้าง ถ้าฉันต้องการรู้จักกับผีเสื้อ ดูเหมือนว่าเป็นสิ่งที่สวยงามทีเดียว มิเช่นนั้นใครที่ไหนเล่าจะมาเยี่ยมเยียนฉัน? ในเมื่อเธอจากไปไกล ส่วนพวกสัตว์ร้ายนั่นฉันไม่กลัวมันหรอก ฉันมีหนามแหลม"
และเจ้าหล่อนก็ชี้ให้เห็นหนามแหลมสี่ของหล่อน และกล่าวเสริมว่า:
"อย่ามัวชักช้าร่ำไรอยู่เลย น่ารำคาญออก ในเมื่อเธอตัดสินใจจะไปแล้ว ก็ไปเสีย"
ทั้งนี้เพราะหล่อนไม่อยากให้เขาเห็นว่าหล่อนร้องไห้ ช่างเป็นดอกไม้ที่เย่อหยิ่งอะไรเช่นนี้…
๑๐
เจ้าชายน้อยอยู่ในบริเวณดาวเบอร์ ๓๒๕,๓๒๖,๓๒๗,๓๒๘,๓๒๙ และ ๓๓๐ เขาเริ่มท่องเที่ยวไปบนดวงดาวเหล่านี้เพื่อหาสิ่งที่น่าสนใจทำและเพื่อศึกษาหาความรู้
ดาวดวงแรกเป็นที่ประทับของพระราชา พระราชาประทับบนบัลลังก์ธรรมดา ๆ แต่ทว่าสง่าผ่าเผย ฉลองพระองค์สีแดงทำด้วยขนสัตว์
"แน่ะ! ข้าราชบริพารมาคนหนึ่งแล้ว" พระราชาร้องขึ้นเมื่อพระองค์ทอดพระเนตรเห็นเจ้าชายน้อย
เจ้าชายสงสัยอยู่ในใจว่า:
"ทำไมเขารู้จักฉันนะ ในเมื่อเขาไม่เคยเห็นหน้าฉันมาก่อนเลย"
เจ้าชายน้อยไม่ทราบหรอกว่า สำหรับพระราชานั้น โลกทั้งโลกแสนจะธรรมดาสำหรับพระองค์ และมนุษย์ทุกคนคือข้าราชบริพาร
"เข้ามาใกล้ ๆ ให้ฉันมองดูเจ้าให้ชัดหน่อยสิ" พระราชาตรัสขึ้นอย่างภาคภูมิใจที่ได้เป็นพระราชาเบื้องหน้าคน
เจ้าชายน้อยมองหาที่นั่ง แต่ดาวทั้งดวงนี้ปกคลุมไปด้วยฉลองพระองค์งามตัวนั้น เขาจึงยืนและหาวด้วยความเหนื่อยอ่อน
"เจ้าต้องไม่หาวต่อหน้ากษัตริย์ เป็นการผิดมารยาท ฉันขอสั่งห้าม" พระราชาตรัส
"ฉันกลั้นไม่ได้นี่" เจ้าชายน้อยตอบอย่างงง ๆ "ฉันเดินทางมานานและไม่ได้นอนเลย..."
"ถ้าอย่างนั้นละก็ ฉันอนุญาตให้เจ้าหาวได้ ฉันไม่เห็นคนหาวมานานแล้ว การหาวนับว่าเป็นของแปลกสำหรับฉัน เอ้า! หาวเข้าสิ นี่เป็นคำสั่งนะ"
"ท่านทำให้ฉันเกิดอาย... ฉันหาวไม่ออกแล้วละ..." เจ้าชายน้อยตอบหน้าแดง
"อืม! ถ้าเช่นนั้นฉัน...อนุญาตให้เจ้าหาว หรือไม่ก็…."
พระราชาตรัสตะกุกตะกักและออกจะเคือง ๆ อยู่
เพราะเหตุว่าพระราชาถือยิ่งนัก เรื่องให้คนเคารพเชื่อฟังปฏิบัติตามคำสั่งของพระองค์ พระองค์ไม่ยอมให้มีการไม่นบนอบเกิดขึ้น ด้วยเหตุว่าพระองค์เป็นพระราชาแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่เนื่องจากว่าพระองค์ดีมาก พระองค์จึงออกคำสั่งที่สมเหตุสมผลเท่านั้น
"ถ้าหากฉันสั่ง" พระองค์กล่าวเรื่อยเจื้อย "เป็นต้นว่า ถ้าฉันจะสั่งให้นายพลเปลี่ยนเป็นนกทะเล แต่ถ้านายพลไม่เชื่อฟังมัน ก็ไม่ใช่ความผิดของนายพล แต่ทว่าเป็นความผิดของฉันเอง"
"ขอนั่งหน่อยเถิดนะ" เจ้าชายน้อยถามอย่างขลาด ๆ
"ฉันอนุญาตให้เจ้านั่งลงได้" พระราชาตอบพลางขยับชายเสื้อคลุมขนสัตว์อย่างสง่าผ่าเผย
แต่เจ้าชายน้อยแปลกใจ ดาวดวงนี้เล็กมาก พระราชาจะปกครองอะไรได้บ้างนะ?
"ใต้ฝ่าพระบาท... หม่อมฉันขออภัยที่จะต้องถามหน่อยเถิด…"
"ฉันอนุญาตให้เจ้าถามได้" พระราชารีบตรัส
"พระองค์...ปกครองอะไรพระเจ้าข้า?"
"ทุกสิ่งแหละ" พระราชารับสั่งตอบอย่างสะดวกดาย
"ปกครองทุกสิ่ง?"
พระราชาโบกพระหัตถ์ไปรอบ ๆ ดวงดาวของพระองค์ ดวงดาวดวงอื่น ๆ โดยทั่ว
"ทั้งหมดนี่เลยรึ?" เจ้าชายน้อยถาม
"ทั้งหมดนี่แหละ…" พระราชาตอบ
พระองค์มิได้เป็นแต่เพียงพระราชาที่ทรงอำนาจสูงสุด แต่เป็นพระราชาแห่งพิภพด้วย
"และดวงดาวทั้งหลายเชื่อฟังพระองค์ดีอยู่รึ?"
"แน่นอน" พระราชาตอบ "ดวงดาวทั้งหมดเชื่อฟังฉัน ฉันไม่ยอมให้มีการดื้อดึงหรอก"
อำนาจเช่นนั้นก่อความมหัศจรรย์ให้เจ้าชายน้อยมาก ถ้าเขาได้ครอบครองจักรวาลเช่นเดียวกันนั้น เขาคงได้เห็นอาทิตย์อัสดงไม่เพียงเฉพาะสี่สิบสี่ครั้ง แต่ทว่าเจ็ดสิบสองครั้ง หรือแม้กระทั่งร้อยครั้งสองร้อยครั้งภายในหนึ่งวัน โดยมิต้องเลื่อนเก้าอี้เลย! เนื่องจากเขารู้สึกเศร้าสร้อยเมื่อระลึกถึงดวงดาวที่เขาละทิ้งมา เขาจึงกล้าพอที่จะขอความกรุณาจากพระราชา:
"ฉันอยากเห็นดวงอาทิตย์อัสดง... กรุณา... สั่งให้ดวงอาทิตย์ตกหน่อยเถิด…"
"ถ้าหากฉันสั่งให้นายพลคนหนึ่งบินจากดอกไม้ดอกหนึ่งไปยังดอกไม้อีกดอกหนึ่งอย่างผีเสื้อละก็ หรือให้เขียนโศกนาฏกรรม หรือให้เปลี่ยนร่างเป็นนกทะเล และถ้านายพลผู้นั้นไม่ทำตามคำสั่งที่ได้รับ ใครเล่าเป็นคนผิดในกรณีนี้?"
"ท่านย่อมเป็นฝ่ายผิด" เจ้าชายน้อยตอบอย่างหนักแน่น
"ใช่แล้ว ฉะนั้นเราต้องไม่ขอร้องให้ใครทำอะไรที่เกินกำลังเขา อำนาจย่อมตั้งอยู่บนรากฐานแห่งเหตุผลเป็นประการแรก ถ้าเจ้าสั่งให้ประชาชนของเจ้าไปกระโดดทะเลตาย พวกเขาก็จะทำการปฏิวัติ ส่วนฉันมีสิทธิ์เรียกร้องความนบนอบเชื่อฟัง เพราะว่าคำสั่งฉันนั้นสมเหตุสมผล"
"เรื่องอาทิตย์อัสดงล่ะ?" เจ้าชายน้อยเตือน เขาไม่เคยลืมสิ่งที่เขาถามเลย
"อ๋อ! อาทิตย์อัสดงน่ะรึ เจ้าจะได้มัน ฉันจะให้เป็นเช่นนั้น แต่ฉันรอก่อน มันเป็นเทคนิคของการปกครอง ที่ฉันจะต้องรอให้สภาพการณ์อำนวยเสียก่อน"
"เมื่อไรเล่า?" เจ้าชายน้อยถาม
"ฮะแอ้ม" พระราชามองดูปฏิทินแผ่นโต "อาทิตย์จะตก...ตอน...ประมาณทุ่มสี่สิบ! แล้วเจ้าจะเห็นว่า มันจะตกตอนที่ฉันสั่งทีเดียว"
เจ้าชายน้อยหาว เขารู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ดูอาทิตย์อัสดง และเขาออกรู้สึกเบื่อ ๆ แล้วด้วย:
"ฉันไม่มีอะไรจะทำที่นี่แล้วละ" เขากล่าวกับพระราชา "ฉันจะไปละนะ!"
"อย่าเพิ่งไป" พระราชาผู้ซึ่งแสนจะภาคภูมิใจที่มีข้าราชบริพารกะเขาอยู่คนหนึ่งตรัส "อย่าเพิ่งเลย ฉันจะตั้งให้เจ้าเป็นรัฐมนตรี!"
"รัฐมนตรีอะไร?"
"…ว่าการยุติธรรม!"
"แต่ไม่มีคนผิดให้เราตัดสินนี่!"
"เราก็ยังไม่รู้แน่นะ ฉันเองยังไม่ได้สำรวจทั่วราชอาณาจักรของฉันเลย ฉันแก่มากแล้ว ฉันไม่มีที่ไว้รถด้วย การเดินสำรวจก็ทำให้ฉันเหนื่อยมาก"
"แต่ฉันเห็นแล้วละ" เจ้าชายน้อยกล่าวพลางเอี้ยวตัวไปดูอีกซีกหนึ่งของดวงดาว "ไม่มีใครอยู่หรอก..."
"เจ้าตัดสินตัวเจ้าเองสิ" พระราชากล่าวตอบ "เป็นหน้าที่ที่ยากที่สุดละ คนเราจะตัดสินตัวเองมากกว่าตัดสินผู้อื่น ถ้าเจ้าตัดสินตัวเจ้าเองได้เป็นผลสำเร็จดีละก็ นับว่าเจ้าเป็นปราชญ์โดยแท้คนหนึ่งทีเดียว"
"ตัวฉันนะรึ ฉันสามารถตัดสินตัวฉันเองได้ไม่ว่าที่ใด ฉันไม่จำเป็นต้องอาศัยอยู่ที่นี่หรอก"
"อืม! ฉันคิดว่าบนดาวดวงนี้ของฉันน่ะ มีหนูแก่อยู่ตัวหนึ่ง ฉันได้ยินเสียงของมันในตอนกลางคืน เจ้าอาจตัดสินหนูตัวนี้ เจ้าตัดสินลงโทษประหารชีวิตมันในบางครั้งคราว ชีวิตของมันก็ขึ้นอยู่กับความยุติธรรมของเจ้า แต่เจ้าก็ควรอภัยโทษให้มันแต่ละครั้งเสียเพื่อรักษามันไว้ เพราะว่ามีมันเพียงตัวเดียวเท่านั้น"
"ฉันไม่ชอบตัดสินประหารชีวิตใครหรอก ฉันคิดว่าฉันไปละ"
"อย่าไปนะ" พระราชากล่าว
แต่เจ้าชายน้อยไม่อยากก่อความเจ็บช้ำน้ำใจให้พระราชา ดังนั้นเมื่อเขาเตรียมตัวพร้อมสรรพจึงกล่าวขึ้นว่า:
"ถ้าหากพระองค์ต้องการให้เรานบนอบต่อพระองค์อย่างเคร่งครัด พระองค์ต้องสั่งอย่างสมเหตุผล พระองค์อาจจะสั่งให้หม่อมฉันไปเสียเดี๋ยวนี้เลย ดูเหมือนว่าสภาพการณ์ก็อำนวยอยู่ด้วย……."
พระราชาไม่ตรัสว่ากระไร เจ้าชายน้อยลังเลใจในขั้นแรก และแล้วก็เริ่มออกเดินทางพลางถอนใจ
"ฉันให้เจ้าเป็นเอกอัครราชทูตฉันนะ" พระราชายังตะโกนบอก
พระองค์มีท่าทางวางอำนาจ
"พวกคนใหญ่คนโตมักจะแปลก ๆ อย่างนี้แหละ" เจ้าชายน้อยปรารภกับตนเองระหว่างการเดินทาง
๑๑
ดาวดวงที่สองมีชายหลงตนอาศัยอยู่:
"อ้า! มีคนนิยมฉันมาหาคนหนึ่งละ!" ชายหลงตนร้องขึ้นเมื่อเห็นเจ้าชายน้อยแต่ไกล
ทั้งนี้เนื่องจากคนพวกนี้เห็นคนอื่นเป็นผู้นิยมชมชอบเขาทั้งสิ้น
"สวัสดี" เจ้าชายน้อยกล่าว "คุณสวมหมวกทรงประหลาดดี"
"ฉันใส่ไว้เพื่อถอดโค้งคำนับ เวลามีคนตบมือโห่ร้องให้ฉันไงล่ะ โชคร้ายหน่อยที่ไม่มีใครผ่านมาทางนี้เลย"
"อ้อ ยังงั้นรึ?" เจ้าชายน้อยไม่เข้าใจอะไรเลย
"ตบมือเข้าสิ" ชายหลงตนกล่าวแนะนำ
เจ้าชายน้อยก็ตบมือใหญ่ ชายหลงตนโค้งคำนับอย่างเสงี่ยมเจียมตน พลางถอดหมวกออก
"สนุกกว่าไปเยี่ยมพระราชาเสียอีก" เจ้าชายน้อยนึก และเขาก็เริ่มตบมือใหญ่ ชายหลงตนก็โค้งคำนับพลางถอดหมวกอีกครั้ง
หลังจากตบมือได้สักห้านาที เจ้าชายน้อยก็ชักเบื่อกับการเล่นซ้ำ ๆ ซาก ๆ:
"ทำอย่างไรจึงจะทำให้หมวกตกได้นะ?" เขาถาม
แต่ชายหลงตนไม่ได้ยิน เขาได้ยินก็ต่อเมื่อคนชมเท่านั้น
"เจ้านิยมชมชอบฉันมากจริง ๆ รึนี่?" เขาถามเจ้าชายน้อย
"นิยมชมชอบหมายความว่าอย่างไร?"
"หมายความว่ายอมรับฉันเป็นคนหล่อที่สุด แต่งตัวดีที่สุด รวยที่สุด และฉลาดที่สุดบนดาวดวงนี้น่ะสิ"
"แต่ว่าคุณอยู่คนเดียวบนดาวดวงนี้นี่"
"ช่วยให้ฉันมีความสุขเถิด นิยมชมชอบฉันเถอะ ถึงแม้ว่าจะมีเพียงฉันคนเดียว!"
"ฉันนิยมชมชอบคุณ" เจ้าชายน้อยกล่าว พลางยักไหล่ "แต่ทว่ามันจะก่อให้เกิดประโยชน์อะไรแก่คุณนะ?"
แล้วเจ้าชายน้อยก็จากไป
"พวกผู้ใหญ่นี่พิลึกจริง ๆ ทีเดียว" เจ้าชายน้อยกล่าวกับตนเองขณะที่เดินทางต่อไป
๑๒
ดาวดวงต่อมาเป็นที่อยู่ของนักดื่มคนหนึ่ง เจ้าชายน้อยอยู่บนดาวดวงนี้เพียงชั่วระยะเวลาอันสั้น แต่ก็ทำให้เขาเศร้าสลดใจมากทีเดียว:
"คุณทำอะไรอยู่นะ?" เขาถามนักดื่มซึ่งนั่งเอียงอยู่หน้าขวดเปล่ากองหนึ่ง และขวดเหล้าเต็มอีกกองหนึ่ง
"ฉันดื่มอยู่" ชายนักดื่มกล่าวอย่างเศร้าซึม
"ทำไมคุณจึงดื่ม?" เจ้าชายน้อยถาม
"เพื่อลืมนะสิ" เขาตอบ
"เพื่อลืมอะไร?" เจ้าชายน้อยถามด้วยความสงสารจับใจ
"เพื่อลืมว่าฉันต้องอับอายขายหน้า" นักดื่มสารภาพพลางก้มหน้า
"อับอายเรื่องอะไร?" เจ้าชายน้อยอยากจะช่วย จึงไต่ถาม
"เรื่องที่ต้องดื่ม!" ชายนักดื่มตอบแล้วก็นิ่งเงียบ
และเจ้าชายน้อยก็จากไปด้วยความงงงัน
"พวกคนมีอายุนี่แปลกมากเอาทีเดียว" เขาปรารภขณะเดินทางต่อไป
๑๓
ดวงดาวที่สี่เป็นโลกของนักธุรกิจ ชายผู้นี้วุ่นเสียจนไม่มีเวลาเงยหน้าดูเมื่อเจ้าชายน้อยมาถึง
"สวัสดี" เจ้าชายน้อยทัก "บุหรี่ของคุณดับแล้วแน่ะ"
"สามบวกสองเป็นห้า ห้ากับเจ็ดเป็นสิบสอง สิบสองและสามเป็นสิบห้า สวัสดี สิบห้ากับเจ็ดเป็นยี่สิบสอง ยี่สิบสองกับอีกหกเป็นยี่สิบแปด ไม่มีเวลาจุดมันใหม่หรอก ยี่สิบหกกับอีกห้าเป็นสามสิบเอ็ด เฮ้อ! ก็รวมเป็นห้าร้อยเอ็ดล้านหกแสนสองหมื่นสองพันเจ็ดร้อยสามสิบเอ็ด"
"ห้าร้อยล้านอะไร?"
"อะไรนะ? เจ้ายังอยู่ที่นี่อีกรึ? ห้าร้อยล้าน…ฉันก็ไม่รู้แล้วละ... ฉันมีงานมากทีเดียว! ฉันทำงานจริงจังนะ ฉันไม่เหลวไหลเล่นหรอก! สองกับห้าเป็นเจ็ด…."
"ห้าร้อยล้านอะไรเล่า?" เจ้าชายน้อยถามซ้ำ เขาไม่เคยล้มเลิกคิดตามถามสิ่งที่เขาต้องการรู้เลย
นักธุรกิจเงยหน้าขึ้น:
"ฉันอยู่บนดาวดวงนี้ห้าสิบสี่ปีมาแล้ว ฉันถูกกวนสามหนเท่านั้น ครั้งแรกเมื่อยี่สิบสองปีก่อน มีเป็ดตัวหนึ่งตกมาจากไหนก็ไม่รู้ มันมาส่งเสียงหนวกหู จนฉันบวกเลขผิดไปสี่แห่ง ครั้งที่สองเมื่อสิบเอ็ดปีที่แล้วนี้ ฉันเกิดเป็นโรคปวดกระดูก ฉันมันไม่ค่อยได้ออกกำลังกาย ฉันไม่มีเวลาไปเดินเล่นนี่ ฉันเป็นคนเอาจริงเอาจังนะ ครั้งที่สามก็...ครั้งนี้ละ! ฉันว่าไว้ห้าร้อยเอ็ดล้าน…"
"ล้านอะไร?"
นักธุรกิจเข้าใจดีว่าเขาจะไม่มีวันได้รับความสงบเป็นอันขาด:
"ของเล็ก ๆ ที่เรามองเห็นบนท้องฟ้าบางครั้งน่ะสิ"
"ตัวแมลงรึ?"
"ไม่ใช่ ของเล็ก ๆ ที่มีแสงเรือง"
"ผึ้งรึ?"
"ไม่ใช่ ของเล็ก ๆ สีทองที่เจ้าพวกคนขี้เกียจฝันถึง แต่ฉันเป็นคนเอาจริงนะ! ฉันไม่มีเวลามานั่งฝันหรอก"
"อ๋อ! ดวงดาวใช่ไหม?"
"นั่นแหละ ใช่ละ"
"แล้วคุณทำอะไรกับดวงดาวห้าร้อยล้านดวงล่ะ?"
"ห้าร้อยเอ็ดล้านหกแสนสองหมื่นสองพันเจ็ดร้อยสามสิบเอ็ด ฉันเป็นคนเอาจริง เห็นไหม ฉันทำถี่ถ้วน"
"คุณทำอะไรกับดวงดาวเหล่านั้น?"
"สิ่งที่ฉันทำกับมันน่ะรึ?"
"จ้ะ"
"เปล่า ฉันเป็นเจ้าของมันไงล่ะ"
"คุณรึ เป็นเจ้าของดวงดาว?"
"ใช่ละ"
"แต่ฉันพบกับพระราชาองค์หนึ่งแล้วนี่…"
"พระราชามิได้เป็นเจ้าของ พระองค์ 'ปกครอง' มันต่างกันมากนะ"
"การเป็นเจ้าของดวงดาวนั้นมีประโยชน์อย่างไร?"
"มันก็ทำให้ฉันร่ำรวยน่ะสิ"
"และการที่คุณร่ำรวยนั้นทำอะไรให้คุณได้บ้าง?"
"ทำให้ฉันซื้อดาวอื่น ๆ ได้อีกน่ะสิ ถ้ามีคนพบดาวดวงใหม่ ๆ"
เจ้าชายน้อยรำพึง ชายผู้นี้คิดแบบเดียวกับคนเมา
อย่างไรก็ตาม เขาก็ตั้งคำถามขึ้นอีกว่า:
"ทำอย่างไรจึงจะเป็นเจ้าของดวงดาวได้?"
"มันเป็นของของใครล่ะ?" นักธุรกิจถามอย่างพิถีพิถัน
"ฉันเองก็ไม่รู้ ไม่มีใครเป็นเจ้าของหรอกกระมัง"
"ถ้าเช่นนั้นมันก็ต้องเป็นของฉัน เพราะว่าฉันคิดขึ้นก่อน"
"เท่านั้นก็พอรึ?"
"แน่ละ เมื่อเจ้าพบเพชรซึ่งไม่มีเจ้าของมันก็ตกเป็นของเจ้า เมื่อเจ้าพบเกาะที่ไม่มีเจ้าของ เจ้าย่อมจะได้มัน เมื่อเจ้าคิดขึ้นมาได้ก่อน เจ้าจดลิขสิทธิ์: มันก็ต้องตกอยู่ในกรรมสิทธิ์ของเจ้า เช่นเดียวกับฉันได้เป็นเจ้าของดวงดาวเพราะว่าไม่มีใครคิดก่อนฉันที่จะยึดมันเป็นสมบัติ"
"จริงสินะ แล้วคุณทำอะไรกับดวงดาวเหล่านั้นล่ะ?"
"ฉันก็จัดระเบียบมัน ฉันนับมันแล้วนับมันอีก" นักธุรกิจตอบ "การนับยากมากทีเดียว แต่ฉันเป็นคนทำจริง!"
เจ้าชายน้อยก็ยังไม่พอใจ
"ถ้าฉันเป็นเจ้าของผ้าพันคอผืนหนึ่ง ฉันเอามาพันคอได้ และเอาติดตัวไปกับฉันได้ ถ้าฉันเป็นเจ้าของดอกไม้ ก็สามารถเด็ดมันและเก็บมันไปด้วย แต่เธอไม่สามารถเอาดวงดาวไปได้นี่?"
"ฉันเอาไม่ได้ก็จริง แต่ฉันใส่ไว้ในธนาคารได้"
"หมายความว่าอย่างไร?"
"หมายความว่า ฉันเขียนจำนวนดวงดาวของฉันทั้งหมดไว้บนกระดาษแผ่นเล็ก ๆ และแล้วฉันก็เก็บกระดาษแผ่นนั้นใส่ลิ้นชักลั่นกุญแจ"
"เท่านั้นเองรึ?"
"แค่นั้นก็พอ!"
"ตลกดี" เจ้าชายน้อยนึกในใจ "ออกจะแปลกอยู่ แต่ก็ไม่เป็นเรื่องเท่าใดนัก"
เจ้าชายน้อยมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องอันเป็นจริงเป็นจังแตกต่างไปจากความคิดเห็นของผู้ใหญ่
"ฉันมีดอกไม้อยู่ดอกหนึ่งซึ่งรดน้ำให้มันทุกวัน ฉันมีภูเขาไฟอยู่สามลูกซึ่งฉันกวาดเถ้าถ่านทุกสัปดาห์ ฉันกวาดภูเขาลูกที่ดับแล้วด้วย เพราะเราไม่รู้แน่จริงไหม การที่ฉันเป็นเจ้าของภูเขาไฟและดอกไม้นั้น ทำประโยชน์ให้กับมัน แต่เธอไม่เห็นทำประโยชน์ให้กับดวงดาวต่าง ๆ นั้นเลยนี่…"
นักธุรกิจอ้าปากจะโต้ตอบ แต่นึกคำพูดไม่ออก
เจ้าชายน้อยจึงเดินทางจากไป พลางนึกในใจว่า "พวกผู้ใหญ่นี่แปลกเอาเสียจริง ๆ"
๑๔
ดวงดาวที่ห้าแปลกน่าสนใจมาก เป็นดวงดาวเล็กที่สุด มันมีที่พอสำหรับตั้งเสาไฟต้นหนึ่งและคนจุดโคมยืนเท่านั้น เจ้าชายน้อยไม่สามารถจะเข้าใจได้ว่าเสาไฟและคนจุดโคมจะมีความสำคัญหรือเป็นประโยชน์ประการใดบนดวงดาวที่ไม่มีบ้านเรือนและผู้คน อย่างไรก็ตาม เขาก็กล่าวกับตนเองว่า:
"ถึงแม้ชายคนนี้จะไร้ความหมายก็ตาม แต่เขาก็ยังไร้ความหมายน้อยกว่าพระราชา คนหลงตน นักธุรกิจและนักดื่ม อย่างน้อยงานของเขาก็มีความหมาย เมื่อเขาจุดไฟในโคม ก็เหมือนกับว่าเขาได้ก่อให้เกิดดวงดาวที่สุกใสขึ้นอีกดวงหนึ่ง หรือเพิ่มดอกไม้ขึ้นอีกดอกหนึ่ง และเมื่อเขาดับโคม ก็เป็นระยะที่ดอกไม้หรือดวงดาวพักผ่อนนอนหลับ นับว่าเป็นงานที่งดงาม เป็นงานที่เป็นประโยชน์โดยแท้จริง ด้วยเหตุว่ามันเป็นงานที่หมดจดงดงาม"
เมื่อเจ้าชายน้อยมาถึงดาวดวงนี้ เขาก็โค้งคำนับคนจุดโคมอย่างนอบน้อม:
"สวัสดี ทำไมเธอถึงดับตะเกียงของเธอเสียล่ะ?"
"เป็นคำสั่งตามหน้าที่นี้ สวัสดี" คนจุดโคมตอบ
"คำสั่งตามหน้าที่คืออะไร?"
"คือต้องดับไฟในตะเกียงน่ะสิ ลาก่อน" แล้วเขาก็จุดโคมใหม่
"ทำไมถึงจุดตะเกียงอีกล่ะ?"
"เป็นคำสั่งตามหน้าที่" คนจุดโคมตอบ
"ฉันไม่เห็นเข้าใจเลย" เจ้าชายน้อยกล่าว
"ก็ไม่มีอะไรที่ต้องเข้าใจนี่ คำสั่งตามหน้าที่ก็คือคำสั่งตามหน้าที่ สวัสดี"
แล้วเขาก็ดับโคมของเขา
ต่อจากนั้นเขาก็ซับหน้าผากด้วยผ้าเช็ดหน้าตาหมากรุกสีแดง
"อาชีพที่ฉันทำอยู่นี่แย่มาก เมื่อก่อนนี้ก็เป็นอาชีพที่ดีสมควรอยู่หรอก ฉันดับไฟตอนเช้า และจุดไฟในตอนเย็น ตลอดวันฉันก็ว่างได้พักผ่อน และตลอดกลางคืนก็ได้นอน..."
"และตั้งแต่นั้นมาล่ะ คำสั่งตามหน้าที่เปลี่ยนแปลงไปรึ?"
"คำสั่งตามหน้าที่มิได้เปลี่ยนไปหรอก นั่นแหละคือจุดโศกนาฏกรรมล่ะ! ดาวมันยิ่งหมุนเร็วเข้าทุกปี และคำสั่งตามหน้าที่มันก็ไม่ได้เปลี่ยนไปด้วย!"
"แล้วอย่างไร?" เจ้าชายน้อยถาม
"เดี๋ยวนี้ดาวมันหมุนรอบตัวมันเองในหนึ่งนาที ฉันก็เลยไม่มีเวลาพักผ่อนสักนาทีเดียว ฉันจะต้องจุดตะเกียงและดับตะเกียงทุก ๆ หนึ่งนาที!"
"แปลกนะ! ที่บนโลกของเธอวันหนึ่งนานเพียงแค่นาทีเดียว!"
"ไม่เห็นแปลกสักนิดเดียว นี่ตั้งหนึ่งเดือนแล้วนะที่เราคุยกันอยู่"
"เดือนหนึ่งเชียวรึ?"
"ใช่ สามสิบนาที ก็เท่ากับสามสิบวัน! ลาก่อน"
แล้วเขาก็จุดไฟใหม่
เจ้าชายน้อยมองดูคนจุดโคม เขารักชายผู้นี้ซึ่งซื่อตรงต่อหน้าที่ของตนเอง เขาระลึกถึงตอนที่เขาใฝ่ฝันหาอาทิตย์อัสดงโดยการเลื่อนเก้าอี้ตามดู เขาถึงอยากจะช่วยเหลือชายผู้นี้
"เธอรู้ไหม...ฉันมีวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้เธอได้พักผ่อนเมื่อเธออยากจะพัก..."
"ฉันอยากจะพักเสมอแหละ" คนจุดโคมตอบ
คนเราก็อาจจะซื่อตรงต่อหน้าที่ และเกียจคร้านได้ในเวลาเดียวกัน
เจ้าชายน้อยกล่าวสืบไปว่า:
"ดวงดาวของเธอเล็กขนาดที่เธอเดินเพียงสามก้าวก็รอบ เธอก็เพียงแต่เดินช้า ๆ ไปเรื่อย ๆ เพื่ออยู่ในด้านกลางวันตลอดเวลา เมื่อเธออยากจะพัก เธอก็เดินไปเรื่อย ๆ... วันก็จะยาวนานเท่าตราบที่เธอประสงค์"
"ไม่เห็นจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นเลย สิ่งที่ฉันชอบในชีวิตนี้ก็คือ การนอน"
"โชคไม่ดีเลยนะ" เจ้าชายน้อยกล่าว
"โชคไม่ดีเลยน่ะสิ สวัสดี"
แล้วเขาก็ดับตะเกียง
เจ้าชายน้อยรำพึง ขณะที่เขาเดินทางต่อไปเรื่อย ๆ "ชายผู้นี้อาจถูกคนอื่น เช่นพระราชา คนหลงตน นักดื่ม และนักธุรกิจเหยียดหยาม อย่างไรก็ตาม สำหรับฉันแล้ว เขาเป็นบุคคลเพียงคนเดียวที่ไม่น่าขันเลย ทั้งเห็นจะเป็นเพราะเหตุที่ว่า เขาไม่ได้สนใจตนเอง แต่ทว่าสนใจในสิ่งอื่น"
เจ้าชายน้อยถอนใจอย่างเสียดาย และนึกต่อไปว่า:
"ชายผู้นี้เป็นคนคนเดียวที่ฉันพอจะคบเป็นเพื่อนได้ แต่ดวงดาวของเขาแสนที่จะคับแคบ มันมีที่ไม่พอสำหรับคนสองคน…."
สิ่งที่เจ้าชายน้อยไม่กล้าสารภาพก็คือ เขาเสียดายที่ดาวดวงนี้มีอาทิตย์อัสดงถึงพันสี่ร้อยสี่สิบครั้งในยี่สิบสี่ชั่วโมง
๑๕
ดาวดวงที่หกใหญ่กว่าดาวดวงที่ห้าอยู่ประมาณสิบเท่า มีชายชราอาศัยอยู่คนหนึ่ง เขากำลังเขียนหนังสือเล่มโต
"อ้อ! นี่คือนักสำรวจคนหนึ่ง!" เขาร้องทักเมื่อเห็นเจ้าชายน้อย
เจ้าชายน้อยนั่งลงบนโต๊ะ หอบน้อย ๆ เนื่องด้วยเขาเดินทางมามาก
"เธอมาจากไหน?" ชายชราถาม
"หนังสือเล่มโตนี่หนังสืออะไร?" เจ้าชายน้อยถาม "คุณทำอะไรอยู่ที่นี่?"
"ฉันเป็นนักภูมิศาสตร์" ชายชราตอบ
"นักภูมิศาสตร์คือใคร?"
"นักภูมิศาสตร์เป็นนักปราชญ์ที่รอบรู้ว่า ทะเล แม่น้ำ เมือง ภูเขา และทะเลทรายตั้งอยู่ที่ใด"
"นับว่าสนใจทีเดียว และเป็นอาชีพที่แท้จริงอาชีพหนึ่ง!" แล้วเจ้าชายน้อยก็กวาดตาไปรอบ ๆ ตัวเขา ทั่วดาวของนักภูมิศาสตร์ เขายังไม่เคยเห็นดาวดวงใดงามสง่าเท่า"
ดวงดาวของท่านสวยงามมากทีเดียว ที่นี่มีมหาสมุทรบ้างไหม?"
"ฉันไม่สามารถทราบได้หรอก" นักภูมิศาสตร์กล่าวตอบ
"อา! (เจ้าชายน้อยผิดหวัง) แล้วภูเขาล่ะมีไหม?"
"ฉันก็ไม่สามารถจะทราบได้เช่นเดียวกัน" นักภูมิศาสตร์ตอบ
"แล้วบ้านเมือง แม่น้ำ และทะเลทรายเล่า?"
"ฉันก็ไม่สามารถจะทราบได้อีกนั่นแหละ" นักภูมิศาสตร์ตอบ
"แต่คุณเป็นนักภูมิศาสตร์นี่?"
"จริงอยู่ แต่ทว่าฉันไม่ใช่นักสำรวจ ฉันขาดนักสำรวจ นักภูมิศาสตร์ไม่มาคอยนั่งนับเมือง แม่น้ำ ภูเขา ทะเล มหาสมุทร หรือทะเลทรายหรอก เขาสำคัญเกินกว่าที่จะมาเดินเล่นได้ เขาจะไม่ออกไปนอกที่ทำงานของเขา แต่เขาจะต้อนรับนักสำรวจ เขาไต่ถามนักสำรวจ เขาจดบันทึกความทรงจำของนักสำรวจ และถ้าหากความทรงจำของนักสำรวจผู้ใดน่าสนใจ เขาก็จะลงมือสอบสวนความประพฤติของนักสำรวจผู้นั้น"
"ทำไมจึงต้องทำเช่นนั้น?"
"เพราะเหตุว่านักสำรวจที่พูดปดจะนำเอาภัยพิบัติมาสู่ตำราภูมิศาสตร์ นักสำรวจที่ดื่มมากก็เช่นเดียวกัน"
"ทำไมหรือ?" เจ้าชายน้อยสงสัย
"เพราะว่าคนขี้เมาจะเห็นภาพซ้อนเป็นสองเสมอ ดังนั้นนักภูมิศาสตร์ก็จะจดบันทึกว่า มีภูเขาสองลูกตรงที่มีภูเขาเพียงลูกเดียว"
"ฉันรู้จักใครคนหนึ่ง" เจ้าชายน้อยพูด "เขาดูจะเป็นนักสำรวจที่ใช้ไม่ได้"
"ก็อาจเป็นไปได้ ฉะนั้นเมื่อเราพบว่าความประพฤติของนักสำรวจดูเรียบร้อยดี เราจึงจะถามมไถ่เรื่องการค้นพบของเขา"
"เราจะต้องตามไปดู?"
"ไม่ได้หรอก มันยุ่งยากมาก แต่เราจะเรียกร้องให้นักสำรวจนำหลักฐานมาแสดงประกอบด้วย
เป็นต้นว่าถ้าเป็นการค้นพบภูเขาลูกโต เราก็ขอให้เขานำหินก้อนโตมาแสดงด้วย"
นักภูมิศาสตร์มีท่าทางตื่นเต้นขึ้นทันใด
"แต่ว่าตัวเธอเล่า เธอมาจากแดนไกล! เธอก็เป็นนักสำรวจ! เธอบรรยายให้ฟังซิว่าโลกของเธอเป็นเช่นไร!"
แล้วนักภูมิศาสตร์ก็จัดแจงเปิดสมุดบันทึกเล่มโตของเขา เหลาดินสอเตรียมพร้อมจะจดบันทึก ในชั้นแรกด้วยดินสอก่อน สำหรับเรื่องราวที่นักสำรวจเล่า จากนั้นจึงจะจดบันทึกลงด้วยน้ำหมึก เมื่อนักสำรวจแสดงหลักฐานแล้ว
"ว่าอย่างไร?" นักภูมิศาสตร์ถาม
"โอ! ที่บ้านของฉันมันไม่น่าสนใจเท่าไรหรอก" เจ้าชายน้อยพูด "มันเล็กนิดเดียว ฉันมีภูเขาไฟสามลูก สองลูกยังคุกรุ่นอยู่ ส่วนอีกลูกหนึ่งนั้นดับแล้ว แต่เราก็ไม่มีวันรู้แน่ดอก"
"เราไม่รู้แน่" นักภูมิศาสตร์พูด
"ฉันมีดอกไม้ดอกหนึ่งด้วย"
"เราไม่จดบันทึกเรื่องดอกไม้" นักภูมิศาสตร์ว่า
"ทำไมเล่า! ดอกไม้เป็นสิ่งที่งดงามที่สุด!"
"เพราะว่าดอกไม้เป็นสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืน"
'ไม่จีรังยั่งยืน' หมายความว่ากระไร?"
"หนังสือภูมิศาสตร์เป็นตำราที่มีค่าที่สุด ไม่ล้าสมัยเร็ว นานแสนนานกว่าภูเขาจะเปลี่ยนที่ นานแสนนานกว่าน้ำในมหาสมุทรจะเหือดแห้ง เราบันทึกสิ่งที่จีรังยั่งยืนเช่นนี้"
"แต่ภูเขาไฟที่ดับแล้วก็อาจคุกรุ่นขึ้นอีกนะ" เจ้าชายน้อยขัด "อะไรคือความหมายของ 'ไม่จีรังยั่งยืน'?"
"การที่ภูเขาไฟจะดับหรือจะคุกรุ่นนั้นมีความหมายเหมือนกันสำหรับเรา สิ่งสำคัญอยู่ที่ตัวภูเขา ซึ่งไม่เปลี่ยนแปลง"
"แต่ 'ไม่จีรังยั่งยืน' หมายความว่ากระไร?" เจ้าชายน้อยถามซ้ำ เขาไม่เคยล้มเลิกที่จะซักให้ได้คำตอบแม้แต่ครั้งเดียว
"หมายความว่า ถูกคุกคามให้หายไปในเวลาอันใกล้"
"ดอกไม้ของฉันถูกคุกคามให้หายไปในเวลาอันใกล้หรือนี่?"
"แน่นอน"
"ดอกไม้ของฉันไม่จีรังยั่งยืน" เจ้าชายน้อยรำพึงกับตนเอง "มันมีเพียงหนามสี่หนามเท่านั้นเพื่อป้องกันตนเองในโลกทั้งโลก! และฉันได้ปล่อยมันไว้เดียวดายในโลกของฉัน!"
นั้นเป็นความรู้สึกเสียใจครั้งแรกของเขา แต่เขาก็กลับทำใจแข็งขันใหม่:
"คุณจะแนะนำให้ฉันไปเที่ยวชมที่ใดบ้าง?" เขาถาม
"ไปชมโลกมนุษย์สิ มันมีชื่อเสียงมาก..." นักภูมิศาสตร์กล่าวตอบ
และแล้วเจ้าชายน้อยก็จากไป พลางคนึงถึงดอกไม้ของเขา
๑๖
ดาวดวงที่เจ็ดก็คือโลกมนุษย์
โลกมนุษย์ไม่ได้เป็นแค่ดาวธรรมดา ๆ ดวงหนึ่ง! มีพระราชารวมทั้งสิ้นหนึ่งร้อยสิบเอ็ดองค์ (แน่ละ เราต้องไม่ลืมนับพระราชานิโกรด้วย) มีนักภูมิศาสตร์เจ็ดพันคน นักธุรกิจเก้าแสนคน มีขี้เมาเจ็ดล้านครึ่ง และมีคนหลงตนอยู่สามร้อยสิบเอ็ดล้าน รวมความแล้วคือมีพวกผู้ใหญ่อยู่ด้วยกันประมาณสองโกฏิ
เพื่อให้คุณพอจะอนุมานได้ว่าขนาดของโลกเป็นเท่าใด ฉันอยากบอกให้คุณทราบว่า ก่อนที่จะมีการคิดประดิษฐ์ไฟฟ้าขึ้นมาได้นั้น คนเราต้องใช้กองพันคนจุดโคมตามทวีปทั้งหกถึงสี่แสนหกหมื่นสองพันห้าร้อยสิบเอ็ดคน
เมื่อมองจากแดนไกลจะได้ภาพที่วิเศษ การเคลื่อนไหวของกองพันนี้ถูกจัดระเบียบเช่นเดียวกับจังหวะการเต้นบัลเลต์ของละครร้อง เริ่มต้นด้วยรอบของคนจุดโคมที่นิวซีแลนด์และออสเตรเลีย เมื่อคนพวกนี้จุดโคมของเขาเสร็จแล้ว เขาก็เข้านอน ต่อมาก็เป็นรอบของคนจุดโคมในเมืองจีนและในไซบีเรียที่จะต้องเข้าวงเต้นรำ และพวกเขาเหล่านั้นก็จะหลบไปยังหลังฉาก แล้วก็เวียนมาถึงรอบของชาวรัสเซียและอินเดีย แล้วก็รอบของพวกแอฟริกาและยุโรป ถัดมาเป็นรอบของพวกอเมริกาใต้ แล้วพวกอเมริกาเหนือ และไม่มีวันเลย ที่พวกนี้จะหลงลืมลำดับที่ของใครก่อนหรือหลังในการปรากฏตัวบนเวที ช่างเป็นภาพที่น่าดูอะไรเช่นนี้
มีแต่เพียงคนจุดตะเกียงที่ขั้วโลกเหนือ และเพื่อนของเขาอีกคนที่ขั้วโลกใต้เท่านั้นที่ดำรงชีวิตอยู่อย่างเกียจคร้านและเฉื่อยชา: เนื่องด้วยเขาทำงานเพียงสองครั้งต่อปี
๑๗
เมื่อคนเราอยากอวดฉลาด เรามักจะต้องกล่าวเท็จบ้างเล็กน้อย ฉันเองก็ออกจะไม่ซื่อตรงนักเมื่อกล่าวกับคุณถึงเรื่องจุดโคม ฉันเกือบทำให้ผู้ที่ไม่รู้จักโลกของเรามีความเข้าใจผิดไป ความจริงแล้วมนุษย์เราต้องการที่อยู่บนพื้นโลกเพียงนิดเดียว ถ้าหากมนุษย์สองพันล้านคนมายืนเบียดรวมกันเข้า เหมือนอย่างในเวลามีงานเลี้ยง เขาสามารถจะรวมกันอยู่อย่างสบายในที่จัตุรัสสาธารณะขนาดกว้างยาวยี่สิบคูณยี่สิบไมล์ ซึ่งก็คือ เราอาจจะนำมนุษยชาติไปรวมไว้บนเกาะเล็ก ๆ กลางมหาสมุทรแปซิฟิกได้นั่นเอง
แน่ละ พวกผู้ใหญ่จะไม่มีวันเชื่อคุณ เขาคิดว่าจะต้องการเนื้อที่ใหญ่โตทีเดียว เขาสำคัญตนว่ายิ่งใหญ่ประดุจต้นไทร คุณอาจจะแนะนำให้เขาคิดคำนวณ เขาชอบคิดพวกตัวเลข: มันทำให้เขาพอใจ แต่ว่าอย่าไปเสียเวลาของคุณให้กับเรื่องเช่นนั้นเลย ไร้ประโยชน์เปล่า ๆ คุณเชื่อฉันเถิด
เจ้าชายน้อยเมื่อมาถึงโลกมนุษย์รู้สึกประหลาดใจมากที่ไม่เห็นใคร ๆ เลย เขาออกกลัวว่าจะมาผิดที่ ก็พอดีมีวงแหวนสีพระจันทร์กระดุกกระดิกอยู่กลางทราย
"ราตรีสวัสดิ์" เจ้าชายน้อยทักส่งเดช
"ราตรีสวัสดิ์" งูกล่าวตอบ
"ฉันอยู่บนดาวดวงใดนะ?" เจ้าชายน้อยถาม
"บนมนุษยโลก ในทวีปแอฟริกา" งูตอบ
"อา!…ไม่มีใครอยู่บนโลกนี้รึ?"
"ที่นี่คือทะเลทราย ไม่มีใครในทะเลทรายหรอก โลกนี้กว้างมากด้วย" งูตอบ
เจ้าชายน้อยนั่งลงบนก้อนหินและมองขึ้นไปบนท้องฟ้า:
"ฉันสงสัยว่าดาวดวงต่าง ๆ มีแสงสว่างก็เพื่อที่แต่ละคนได้ค้นพบดวงดาวของตนในวันหนึ่ง จงดูดวงดาวของฉันซี อยู่ตรงกับศีรษะของเราพอดี... แต่ว่ามันช่างอยู่ไกลเสียนี่กระไร!
"มันสวยทีเดียวนะ" งูกล่าว "แล้วเธอมาที่นี่ทำไม?"
"ฉันมีเรื่องกับดอกไม้ของฉัน" เจ้าชายน้อยตอบ
"อ้อ!" งูร้องรับ
แล้วทั้งสองก็เงียบงันไป
"คนอยู่ที่ไหนนะ" เจ้าชายน้อยซักต่อ "เราออกจะอยู่โดดเดี่ยวในทะเลทราย..."
"แม้ในหมู่คน เราก็คงอยู่อย่างโดดเดี่ยว" งูกล่าว
เจ้าชายน้อยมองงูอยู่นาน ในที่สุดเขากล่าวขึ้น:
"เธอเป็นสัตว์ประหลาด ผอมบางเหมือนอย่างกับนิ้วมือ..."
"แต่ว่าฉันมีอำนาจกว่านิ้วมือของพระราชาเสียอีก"
เจ้าชายน้อยยิ้ม:
"เธอมีอำนาจไม่มากนักหรอก... เธอไม่มีแม้แต่ขา….. เธอไม่สามารถเดินทางได้..."
"ฉันสามารถพาเธอไปได้ไกลกว่าเรืออีกนะ"งูกล่าว
แล้วเขาก็เลื้อยพันข้อเท้าเจ้าชายน้อยประหนึ่งกำไลทอง
"บุคคลผู้ที่ฉันได้สัมผัส ฉันจะคืนเขาแด่แม่ธรณีซึ่งเขาเกิดขึ้นมา" เขากล่าวอีก "แต่ทว่าเธอเป็นคนบริสุทธิ์และเธอมาจากดาวดวงอื่น…."
เจ้าชายน้อยมิได้ตอบว่ากระไร
"เธอทำให้ฉันเกิดความสงสารเธอ เธอแสนจะอ่อนแอ มาอยู่บนดินแดนแห่งโขดหิน ฉันคงคงจะเป็นประโยชน์แก่เธอในวันหนึ่ง เมื่อเธอเกิดความเสียดายและคิดถึงดวงดาวของเธอ ฉันสามารถ…."
"โอ! ฉันเข้าใจดีทีเดียว แต่ทำไมเธอถึงชอบพูดเป็นปริศนาเสมอเล่า?"
"แต่ฉันก็ไขทุกปัญหาแหละ" งูกล่าวตอบ
และเขาทั้งสองก็นิ่งเงียบไป
๑๘
เจ้าชายน้อยเดินตัดทะเลทราย และพบเพียงดอกไม้หนึ่งดอก ดอกไม้มีสามกลีบ ดอกไม้ที่แสนจะธรรมดาที่สุดดอกหนึ่ง...
"สวัสดี" เจ้าชายน้อยทัก
"สวัสดีจ้ะ" ดอกไม้กล่าวตอบ
"คนเขาอยู่ที่ไหนกันจ๊ะ?" เจ้าชายน้อยถามอย่างสุภาพ
ดอกไม้เคยเห็นกองคาราวานผ่านมาครั้งหนึ่ง:
"คนน่ะรึจ๊ะ? ฉันคิดว่ามีสักหกหรือเจ็ดคนได้ ฉันเคยเห็นพวกเขาเมื่อสักหลายปีมาแล้ว แต่เราไม่มีวันรู้ว่าจะหาพวกเขาได้ที่ไหน ลมพัดพาพวกเขาไป พวกเขาไม่มีราก ซึ่งคงทำความยุ่งยากให้พวกเขามากทีเดียว"
"ลาก่อนนะ" เจ้าชายน้อยกล่าว
"จ้ะ ลาก่อน" ดอกไม้ตอบ
๑๙
เจ้าชายน้อยปีนขึ้นไปบนภูเขาสูงลูกหนึ่ง เขาเคยรู้จักภูเขามาก่อน คือภูเขาไฟสามลูกบนโลกของเขา ซึ่งมันก็สูงเพียงแค่หัวเข่าของเขาเท่านั้นเอง และเขาก็เคยใช้ภูเขาลูกที่ดับแล้วต่างม้านั่งอยู่บ่อย ๆ "มองจากภูเขาสูงใหญ่ขนาดลูกนี้ละก็ ฉันคงจะเห็นโลกทั้งโลกและคนทั้งหมดทีเดียง..." เขารำพึง แต่เขาก็เห็นเพียงยอดแหลมเรียว ๆ เท่านั้น
"สวัสดี" เขากล่าวทักส่งเดช
"สวัสดี…สวัสดี…สวัสดี..." เสียงก้องสะท้อนตอบ
"คุณคือใคร?" เจ้าชายน้อยถาม
"คุณคือใคร…คุณคือใคร…คุณคือใคร" เสียงก้องสะท้อน
"จงเป็นเพื่อนฉันเถิด ฉันอยู่คนเดียว"
"ฉันอยู่คนเดียว…ฉันอยู่คนเดียว…ฉันอยู่คนเดียว" เสียงสะท้อนตอบอีก
"ดวงดาวอะไรประหลาดเช่นนี้!" เขาคิด "มันช่างแสนจะแห้งแล้ง มีแต่ยอดคมแหลมและไอเค็ม พวกมนุษย์เองก็ดูจะขาดจินตนาการ เขาเอาแต่พูดตามสิ่งซึ่งคนอื่นพูดให้เขาฟัง…ที่โลกของฉันมีดอกไม้อยู่หนึ่งดอก: เขาเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อนเสมอ…"
๒๐
แต่ในที่สุด หลังจากเจ้าชายน้อยได้เดินฝ่าทะเลทราย หินผา และหิมะมาแล้ว เขาก็พบทางสายหนึ่ง และทางทุกทางก็จะนำไปยังมนุษย์
"สวัสดี" เขากล่าวทักบรรดาดอกกุหลาบในสวนหนึ่ง
"สวัสดี" ดอกกุหลาบกล่าวตอบ
เจ้าชายน้อยมองดูดอกไม้เหล่านั้น มันช่างเหมือนกันกับดอกไม้ของเขา
"คุณคือใคร" เขาถามดอกไม้นั้นอย่างประหลาดใจ
"พวกเราคือดอกกุหลาบ"
"อา!" เจ้าชายน้อยพึมพำ...
และเขาก็รู้สึกไม่สบายใจอย่างมาก ดอกไม้ของเขาเคยเล่าให้เขาฟังว่า เธอเป็นดอกไม้ดอกเดียวซึ่งพันธุ์ของเธอมีอยู่ในจักรวาล เดี๋ยวนี้เขากลับมาพบดอกไม้ชนิดเดียวกันตั้งห้าพันต้นในสวนเพียงสวนเดียวเท่านั้น!
"เจ้าหล่อนคงหัวเสียทีเดียว" เจ้าชายน้อยรำพึง "ถ้าเธอมาเห็นเข้า…เธอคงกระแอมไอเสียยกใหญ่ และคงทำท่าจะตายเอาทีเดียวเพื่อหนีหน้าให้พ้นความอาย และฉันก็คงจะต้องทำเป็นประคบประหงมเธอ เพราะว่าถ้ามิเช่นนั้น เธอก็คงจะปล่อยตัวให้ตายไปจริง ๆ เพื่อที่จะทำให้ฉันรู้สำนึกตัว..."
และแล้วเขาก็รำพึงต่อ: "ฉันเข้าใจเอาว่าฉันนี้ร่ำรวยเพียงเพราะเป็นเจ้าของดอกไม้ดอกเดียวในโลก แต่อันที่จริงฉันมีเพียงดอกกุหลาบธรรมดาเพียงดอกหนึ่งเท่านั้น กับภูเขาไฟอีกสามลูกซึ่งสูงเพียงหัวเข่าของฉัน และภูเขาไฟลูกหนึ่งดูเหมือนจะดับตลอดกาล ก็เท่านั้นเองซึ่งมันไม่ได้ทำให้ฉันกลายเป็นเจ้าชายที่สำคัญใหญ่โตอะไรเลย…" เขาเหยียดกายนอนบนพื้นหญ้า แล้วร่ำไห้
๒๑
ในตอนนี้เองที่เจ้าสุนัขจิ้งจอกในทะเลทรายปรากฏตัว:
"สวัสดี" สุนัขจิ้งจอกทัก
"สวัสดี" เจ้าชายน้อยทักตอบอย่างสุภาพ พลางหันไปมองแต่ไม่เห็นอะไรเลย
"ฉันอยู่ที่นี่" เสียงหนึ่งกล่าวใต้ต้นแอปเปิล
"เธอคือใคร?" เจ้าชายน้อยถาม "เธอสวยจัง…"
"ฉันคือสุนัขจิ้งจอก"
"มาเล่นกับฉันสิ" เจ้าชายน้อยชักชวน "ฉันกำลังเศร้าใจมาก…"
"ฉันเล่นกับเธอไม่ได้หรอก ฉันยังไม่ถูกทำให้เชื่อง" สุนัขจิ้งจอกตอบ
"อา! ขอโทษ" เจ้าชายน้อยพูด
แต่หลังจากคิดตริตรองอยู่ครู่ใหญ่ เขาก็กล่าวต่อไปว่า:
" 'ทำให้เชื่อง' หมายความว่ากระไรนะ?"
"เธอไม่ใช่คนที่นี่ เธอหาอะไรหรือ?" เขาถาม
"ฉันหาพวกคน" เจ้าชายน้อยตอบ " 'ทำให้เชื่อง' แปลว่าอะไรนะ?"
"พวกคนน่ะรึ" สุนัขป่ากล่าว "เขามีปืนและเขาล่าสัตว์ น่ารำคาญจะตาย! พวกเขาเลี้ยงไก่ด้วย ก็มีดีเพียงอย่างเดียวนี่แหละ เธอกำลังหาไก่หรือเปล่า?"
"เปล่า ฉันกำลังหาเพื่อน 'ทำให้เชื่อง' แปลว่าอะไร?"
"เป็นสิ่งซึ่งมักถูกลืม" สุนัขจิ้งจอกกล่าว "มันคือการ 'สร้างความสัมพันธ์...' "
"สร้างความสัมพันธ์หรือ?"
"แน่นอน" สุนัขจิ้งจอกพูด "สำหรับฉันเธอเป็นเพียงเด็กผู้ชายเล็ก ๆ คนหนึ่งซึ่งเหมือน ๆ กันกับเด็กชายคนอื่น ๆ อีกแสนคน ฉันไม่ต้องการเธอ และเธอก็ไม่ต้องการฉันเช่นเดียวกัน ฉันก็เป็นเพียงสุนัขจิ้งจอกธรรมดา ๆ ตัวหนึ่งเหมือนสุนัขจิ้งจอกอื่น ๆ แสนตัว แต่ทว่าถ้าเมื่อใดเธอคุ้นเคยใกล้ชิดกับฉัน เมื่อนั้นเราต่างก็ต้องการซึ่งกันและกัน เธอก็จะเป็นเด็กคนเดียวในโลกสำหรับฉัน และฉันก็จะเป็นสุนัขจิ้งจอกตัวเดียวในโลกสำหรับเธอด้วย…"
"ฉันเริ่มจะเข้าใจละ" เจ้าชายน้อยกล่าว "มีดอกไม้อยู่ดอกหนึ่ง…ฉันคิดว่าเธอได้สร้างความสัมพันธ์กับฉัน…"
"ก็อาจเป็นไปได้ เราอาจมองดูโลกได้ต่าง ๆ กันไป..."
"โอ! ไม่ใช่บนโลกนี้หรอก" เจ้าชายน้อยตอบ
สุนัขจิ้งจอกมีท่าแยบยล:
"บนดาวดวงอื่นรึ?
"ใช่"
"มีนักล่าสัตว์ไหม บนดาวดวงนั้น?"
"ไม่มี"
"อา! น่าสนใจทีเดียว! และไก่ล่ะมีไหม?"
"ไม่มี"
"ไม่มีอะไรที่ดีพร้อมเลย" สุนัขจิ้งจอกถอนใจ
แต่เขาก็ยังย้อนมายังความคิดเดิม:
"ชีวิตของฉันแสนจะน่าเบื่อหน่าย ฉันล่าไก่ มนุษย์ก็ตามล่าฉันอีกที ไก่ทุก ๆ ตัวก็เหมือน ๆ กันหมด และมนุษย์ทุกคนก็เหมือน ๆ กันอีก ฉันออกจะเบื่อ ๆ อยู่ แต่ว่าถ้าเธอทำให้ฉันเชื่อง ชีวิตของฉันก็จะสดใสขึ้น ฉันจะเรียนรู้ฝีเท้าของเธอซึ่งผิดจากเสียงอื่นทั้งสิ้น เสียงฝีเท้าอื่นจะทำให้ฉันหลบหนีไปใต้ดิน แต่ฝีเท้าของเธอจะเรียกให้ฉันออกมาจากโพรงดิน เช่นเดียวกับเสียงดนตรี และดูนั่นสิ! เธอเห็นไหม ที่นั่น ทุ่งนาข้าวสาลี ฉันไม่กินขนมปังหรอก ข้าวสาลีหามีประโยชน์ต่อฉันไม่ นาข้าวสาลีจึงมิได้ทำให้ฉันหวนระลึกถึงสิ่งใดเลย และนั่นก็เป็นสิ่งน่าเศร้า! เธอมีผมสีทอง ฉะนั้นถ้าเธอก่อความสัมพันธ์ ระหว่างเราทั้งสอง ก็จะเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ยิ่ง! ข้าวสาลีสีเหลืองอร่ามจะทำให้ฉันหวนระลึกถึงเธอ ฉันเองชอบฟังเสียงลมพัดผ่านต้นข้าว…"
สุนัขจิ้งจอกนิ่งไป พร้อมกับมองดูเจ้าชายน้อยเป็นเวลานาน:
"ได้โปรดเถิด…จงทำให้ฉันเชื่อง!" เขากล่าว
"ฉันอยากจะทำเช่นนั้น" เจ้าชายน้อยตอบ "แต่ฉันไม่มีเวลามาก ฉันมีเพื่อนมากมายที่จะต้องไปค้นหา และสิ่งต่าง ๆ มากมายที่จะต้องเรียนรู้อีก"
"เราจะรู้จักแต่ละสิ่งซึ่งเรามีความสัมพันธ์ด้วยเท่านั้น"
สุนัขจิ้งจอกกล่าว "มนุษย์เขาไม่มีเวลาจะรู้จักสิ่งใดทั้งสิ้น เขาซื้อของสำเร็จรูปจากพ่อค้า แต่เนื่องจากพ่อค้าขายเพื่อนยังไม่ปรากฏ มนุษย์จึงยังไม่มีเพื่อน ถ้าเธอต้องการเพื่อนเธอจงหัดฉันให้เชื่องสิ!"
"ต้องทำอย่างไรเล่า" เจ้าชายน้อยถาม
"เธอจะต้องมีความอดทน" สุนัขจิ้งจอกตอบ "เธอจะต้องนั่งห่างจากฉันหน่อยในตอนแรก อย่างนั้นแหละ นั่งบนหญ้า ฉันจะชายตามองดูเธอ จากนั้นเธอก็อย่าพูดอะไรเลยนะ เพราะ ภาษาคือที่มาของความเข้าใจผิด และเธอค่อยเขยิบเข้ามาใกล้ ๆ ฉันมากขึ้นทีละน้อย..."
วันรุ่งขึ้นเจ้าชายน้อยก็กลับมาอีก
"เธอควรจะมาในเวลาเดียวกันเสมอ" สุนัขจิ้งจอกกล่าว "เป็นต้นว่า ถ้าเธอเคยมาตอนบ่ายสี่โมง ประมาณสักบ่ายสามโมงฉันก็เริ่มเป็นสุขแล้ว ยิ่งเวลาล่วงไปฉันก็ยิ่งเป็นสุขมากขึ้น พอสี่โมง ฉันก็จะรู้สึกตื่นเต้น และกระวนกระวาย ฉันจะรู้จักคุณค่าของความสุข! แต่ถ้าเธอมาไม่เป็นเวลา ฉันจะไม่มีวันรู้ว่าเมื่อไรฉันควรจะเตรียมใจฉันไว้… พิธีรีตองก็เป็นสิ่งจำเป็นเช่นกัน"
"พิธีรีตองคืออะไร?" เจ้าชายน้อยถาม
"คือสิ่งที่เรามักจะลืมเสียเช่นเดียวกัน" สุนัขจิ้งจอกกล่าว "มันเป็นสิ่งซึ่งทำให้วันหนึ่งมีความหมายต่างจากวันอื่น ๆ เวลาหนึ่งมีความหมายเป็นพิเศษจากเวลาอื่น ๆ เป็นต้นว่า พวกนายพรานก็มีพิธีรีตอง เขาจะเต้นรำในวันพฤหัสฯ กับพวกสาว ๆ ในหมู่บ้าน ดังนั้นวันพฤหัสฯ จึงเป็นวันที่พิเศษที่สุด! ฉันจะไปเที่ยวเล่นจนถึงไร่องุ่น แต่ถ้าหากพวกนายพรานเต้นรำไม่เป็นเวลา ทุกวันก็เหมือนกันหมด ฉันก็จะไม่มีวันหยุดพักผ่อนเลย"
ด้วยประการฉะนี้ เจ้าชายน้อยก็ได้หัดสุนัขจิ้งจอกจนเชื่อง และเมื่อเวลาจากกันใกล้เข้ามา:
"อา!... ฉันจะร้องไห้" สุนัขจิ้งจอกกล่าว
"เป็นความผิดของเธอเอง ฉันไม่อยากทำให้เธอไม่สบายใจ แต่เธอเองอยากให้ฉันหัดให้เชื่อง..."
"ใช่แล้ว" สุนัขจิ้งจอกกล่าว
"แต่แล้วเธอกลับร้องไห้!" เจ้าชายน้อยติง
"แน่ละ"
"ถ้าเป็นเช่นนั้นเธอก็ไม่ได้อะไรเลย!"
"ฉันได้สิ" สุนัขจิ้งจอกกล่าว "ก็สีของข้าวสาลีไงล่ะ"
แล้วเขากล่าวต่อไปว่า:
"จงกลับไปดูกุหลาบเหล่านั้น เธอจะเข้าใจในที่สุดว่าดอกกุหลาบของเธอมีอยู่ดอกเดียวในโลก แล้วเมื่อเธอกลับมาร่ำลา ฉันจะบอกความลับอย่างหนึ่งเพื่อเป็นของขวัญแก่เธอ"
เจ้าชายน้อยกลับไปดูหมู่กุหลาบ:
"เธอช่างไม่เหมือนดอกกุหลาบของฉันเลย เธอยังไม่มีความหมาย เพราะไม่มีใครมาสร้างความสัมพันธ์กับเธอ และเธอยังไม่เป็นของใคร เธอเป็นเหมือนสุนัขจิ้งจอกของฉันในตอนแรก ซึ่งเหมือนกับสุนัขจิ้งจอกอื่น ๆ อีกแสนตัว แต่เมื่อฉันเป็นเพื่อนกับเขา เขาจึงกลายเป็นสุนัขจิ้งจอกตัวเดียวในโลกสำหรับฉัน"
ฝ่ายหมู่กุหลาบดูรู้สึกอึดอัดใจ
"เธอสวยอยู่หรอก แต่เธอไม่มีความหมายเลย" เจ้าชายน้อยกล่าวสืบไปกับหมู่ดอกกุหลาบนั้น "ไม่มีใครยอมตายเพื่อเธอหรอก แต่สำหรับดอกกุหลาบของฉัน แน่ละคนผ่านไปมาตามธรรมดาก็คิดว่าดอกกุหลาบนั้น เหมือน ๆ กับพวกเธอ แต่ว่าดอกกุหลาบดอกเดียวนั้นมีความสำคัญกว่าเธอทั้งหมด เพราะเป็นดอกกุหลาบซึ่งฉันรดน้ำ เพราะว่าฉันได้ถนอมไว้ในฝาครอบ และเพราะว่าเป็นดอกกุหลาบของฉัน ฉันจึงได้หาฉากมาบังลม ฉันได้ฆ่าตัวหนอน (ยกเว้นบางตัวซึ่งฉันปล่อยให้เป็นผีเสื้อ) ฉันจึงทนฟังเขาบ่นฟังเขาโอ้อวด แม้กระทั่งฟังเขานิ่งเงียบ ทั้งนี้ทั้งนั้นเพราะว่าเป็นดอกกุหลาบของฉัน"
แล้วเขากลับมาหาสุนัขจิ้งจอก:
"ลาก่อนนะ" เขากล่าว...
"ลาก่อน" สุนัขจิ้งจอกตอบ "นี่คือความลับของฉัน มันแสนจะธรรมดา: เราจะมองเห็นแจ่มชัดด้วยหัวใจเท่านั้น สิ่งสำคัญนั้นไม่อาจเห็นได้ด้วยดวงตา"
"สิ่งสำคัญนั้นไม่อาจเห็นได้ด้วยดวงตา" เจ้าชายน้อยพูดตามเพื่อเป็นการเตือนความทรงจำ
"เวลาที่เธอเสียไปให้กับดอกกุหลาบของเธอ ทำให้ดอกกุหลาบนั้นมีค่ามากขึ้น"
"เวลาที่ฉันเสียไปให้กับดอกกุหลาบของฉัน…." เจ้าชายน้อยว่าตามเพื่อจดจำไว้
"มนุษย์ลืมความจริงข้อนี้ "สุนัขจิ้งจอกเอ่ย "แต่เธอต้องไม่ลืมมัน เธอต้องรับผิดชอบต่อทุกสิ่งที่เธอมีความสัมพันธ์ด้วย เธอต้องรับผิดชอบดอกกุหลาบของเธอ…."
"ฉันต้องรับผิดชอบต่อดอกกุหลาบของฉัน….." เจ้าชายน้อยกล่าวซ้ำเพื่อให้หวนระลึกได้
๒๒
"สวัสดี" เจ้าชายน้อยกล่าวทัก
"สวัสดี" พนักงานสับรางรถไฟทักตอบ
"เธอทำอะไรอยู่ที่นี่?" เจ้าชายน้อยถาม
"ฉันแบ่งนักเดินทางออกเป็นกองละพันคน" พนักงานสับรางรถไฟตอบ "ฉันส่งรถไฟซึ่งบรรทุกคนเดินทางไปทางขวาบ้างทางซ้ายบ้าง"
รถเร็วขบวนหนึ่งเปิดไฟสว่างจ้าพร้อมกับส่งเสียงกึกก้องเหมือนฟ้าร้องคำรามวิ่งตรงมา ทำให้ห้องเครื่องสับรางรถไฟสั่นสะเทือนไป
"ท่าทางรีบร้อนกันจริง เขากำลังตามหาอะไรรึ?" เจ้าชายน้อยถาม
"คนขับหัวจักรเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน" พนักงานสับรางรถไฟตอบ
และรถเร็วเปิดไฟจ้าขบวนที่สองก็คำรามกึกก้องแล่นมาจากทิศตรงข้าม
"เขากลับมาแล้วรึนี่?" เจ้าชายน้อยถาม...
"ไม่ใช่คันเดียวกันหรอก เป็นขบวนสับเปลี่ยน"
"เขาไม่พอใจที่ที่เขาอยู่รึ"
"คนเราไม่เคยพอใจในที่ที่ตนอยู่เลย" พนักงานตอบ
แล้วรถเร็วขบวนที่สามเปิดไฟสว่างจ้าก็ส่งเสียงแบบฟ้าร้องมาอีก
"เขาคงกำลังตามนักเดินทางกลุ่มแรกกระมัง?" เจ้าชายน้อยถาม
"เขาไม่ได้ตามอะไรทั้งสิ้น พวกเขานอนหลับอยู่ในนั้นหรือไม่ก็นั่งหาว พวกเด็ก ๆ เท่านั้นที่แนบหน้ากับกระจก"
"พวกเด็ก ๆ เท่านั้นที่รู้ว่าตนเองต้องการอะไร" เจ้าชายน้อยกล่าว "เขายอมเสียเวลาให้กับตุ๊กตาผ้า และตุ๊กตานั้นก็มีความสำคัญมาก และถ้าใครมาเอามันไปจากเขา เขาก็จะร้องไห้…."
"พวกเขาช่างโชคดีจริงนะ" พนักงานสับรางรถไฟกล่าว
๒๓
"สวัสดี" เจ้าชายน้อยทัก
"สวัสดี" พ่อค้าทักตอบ
พ่อค้าคนนี้ขายยาเม็ดสำหรับแก้กระหายน้ำ ซึ่งจะต้องกินอาทิตย์ละเม็ด แล้วจะทำให้ไม่รู้สึกอยากดื่มน้ำเลย
"ทำไมเธอจึงขายของนี้?" เจ้าชายน้อยถาม
"เพราะมันประหยัดเวลาได้มากทีเดียว" พ่อค้าตอบ "ผู้เชี่ยวชาญได้คำนวณดูแล้ว เราสามารถประหยัดเวลาได้ตั้งห้าสิบสามนาทีต่อสัปดาห์"
"แล้วเขาใช้เวลาห้าสิบสามนาทีทำอะไรกัน"
"เขาก็ทำสิ่งซึ่งเขาอยาก…"
"ถ้าหากฉันมีเวลาห้าสิบสามนาทีนั้น ฉันจะค่อย ๆ เดินไปสู่ธารน้ำ….." เจ้าชายน้อยรำพึงกับตัวเอง
๒๔
เราอยู่กันในทะเลทรายตั้งแต่เครื่องยนต์ฉันเสียมาเข้าวันที่แปดแล้ว และฉันก็ได้ฟังเรื่องราวของพ่อค้าขายยาเม็ดแก้กระหายน้ำ พลางดื่มน้ำหยดสุดท้ายที่ฉันมีอยู่
"อา! ความหลังของเธอช่างงดงามอะไรเช่นนั้น" ฉันกล่าวกับเจ้าชายน้อย "แต่ว่าฉันยังไม่ได้ซ่อมเครื่องบินของฉันเลย ฉันไม่มีอะไรจะดื่มอีกแล้ว และฉันคงจะเป็นสุขมากทีเดียว ถ้าหากว่าฉันสามารถค่อย ๆ เดินไปสู่ธารน้ำได้!"
"เพื่อนสุนัขจิ้งจอกของฉัน" เขากล่าวขึ้น...
"เด็กน้อยเอ๋ย มันไม่เกี่ยวกับสุนัขจิ้งจอกแล้ว!"
"ทำไมล่ะ?"
"เพราะว่าเรากำลังจะตายด้วยความกระหายน้ำ"
เขาไม่เข้าใจเหตุผลของฉันเลย เขาจึงตอบว่า:
"การมีเพื่อนเป็นสิ่งที่ดีนะ ถึงแม้ว่าเราจะตายก็ตาม ฉันดีใจมากที่มีเพื่อนอย่างสุนัขจิ้งจอก…"
เขามิได้เห็นอันตรายนั้น เขาไม่เคยหิวหรือกระหายน้ำ แสงแดดเล็กน้อยก็เพียงพอแล้วสำหรับเขา...
แต่เขามองดูฉันและตอบความคิดของฉันว่า:
"ฉันกระหายน้ำเหมือนกัน….ไปหาบ่อน้ำกันเถิด"
ฉันมีทีท่าเหน็ดเหนื่อย ดูออกจะเหลวไหลอยู่ที่เที่ยวเสาะหาหนองน้ำตามบุญตามกรรมในทะเลทรายกว้างใหญ่ไพศาล แต่กระนั้นเราก็ออกเดินกัน
เราเดินไปเงียบ ๆ โดยมิได้พูดจากันนานนับชั่วโมงกระทั่งมืด ดวงดาวเริ่มส่องแสงระยิบระยับ ฉันมองเห็นดวงดาวเหล่านั้นเหมือนอยู่ในความฝัน เนื่องด้วยฉันออกจะมีไข้ขึ้นบ้างเล็กน้อยเพราะความกระหายน้ำ คำพูดของเจ้าชายน้อยยังคงก้องอยู่ในความคิดของฉัน:
"เธอหิวน้ำเหมือนกันรึ?" ฉันถาม
เขามิได้ตอบคำถามของฉัน หากแต่กล่าวเพียงว่า:
"น้ำอาจจะดีเหมือนกันสำหรับหัวใจ…."
ฉันไม่เข้าใจคำตอบของเขา แต่ฉันก็นิ่ง… ฉันทราบดีว่าไม่ควรซักถามเขาต่อ
เขากำลังเหนื่อย เขานั่งลง ฉันเองนั่งลงข้าง ๆ และหลังจากเงียบอยู่ครู่ใหญ่ เขาก็กล่าวขึ้น:
"ดวงดาวช่างสวยจริงนะ ทั้งนี้เพราะดอกไม้เพียงดอกเดียวซึ่งเรามองไม่เห็น..."
ฉันตอบว่า "แน่นอน" จากนั้นฉันมองดูริ้วทรายใต้แสงจันทร์ โดยมิได้กล่าวสิ่งใด
"ทะเลทรายก็งามเช่นกัน" เขากล่าวเสริม….
ซึ่งเป็นความจริง ฉันนั้นรักทะเลทรายเสมอมา เราพากันนั่งบนเนินทราย เรามองไม่เห็นอะไรเลย
อย่างไรก็ตาม บางสิ่งบางอย่างส่องแสงเรืองท่ามกลางความเงียบ…
"สิ่งที่ทำให้ทะเลทรายสวยงามนั้น อยู่ตรงที่ว่า มันซ่อนบ่อน้ำไว้ที่ใดที่หนึ่ง…"
ฉันรู้สึกประหลาดใจที่เขาเข้าใจได้ในทันทีทันใดถึงสิ่งลึกลับซึ่งแอบแฝงเป็นประกายอยู่ในเม็ดทราย สมัยเมื่อฉันยังเป็นเด็กเล็ก ๆ ฉันอาศัยอยู่ในบ้านโบราณ และมีเรื่องเล่ากันว่ามีสมบัติซ่อนฝังดินในบริเวณนั้น แน่ละ ยังไม่เคยมีใครหามันพบ หรือแม้แต่จะไปค้นหามัน แต่ว่ามันก็ทำให้บ้านหลังนั้นมีมนต์เสน่ห์ บ้านของฉันหลังนี้ได้ซ่อนความลับไว้ในส่วนลึกของหัวใจมัน……
"ใช่แล้ว" ฉันกล่าวกับเจ้าชายน้อย "ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องบ้าน เรื่องดวงดาว หรือเรื่องทะเลทราย สิ่งซึ่งทำให้งดงามนั้นมองไม่เห็นหรอก!"
"ฉันดีใจที่เธอมีความเห็นลงรอยกับสุนัขจิ้งจอกของฉัน" เจ้าชายน้อยกล่าว
เนื่องจากเจ้าชายน้อยนอนหลับ ฉันจึงอุ้มเขาแล้วเดินต่อไป ฉันรู้สึกตื่นเต้น ฉันมีความรู้สึกเสมือนกำลังประคองสมบัติล้ำค่าที่บอบบาง ฉันมีความรู้สึกประหนึ่งว่าไม่มีสิ่งใดในโลกอีกแล้วที่จะบอบบางไปกว่านี้ จากแสงจันทร์ ฉันมองดูหน้าผากซีด ตาปิดสนิท ปอยผมซึ่งปลิวไสวตามลม และฉันรำพึงกับตนเองว่า: "สิ่งซึ่งฉันมองเห็น เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น สิ่งสำคัญกว่านั้นหาได้มองเห็นไม่…"
ริมฝีปากของเจ้าชายน้อยเผยอเปิดคล้ายจะยิ้ม ฉันรำพึงต่อไปว่า: "สำหรับเจ้าชายน้อย สิ่งซึ่งจับใจฉันยิ่งคือความซื่อตรงเขาต่อดอกไม้ คือภาพดอกกุหลาบดอกหนึ่งซึ่งส่องแสงเจิดจ้าในตัวเขา ดุจเปลวไฟในตะเกียง แม้ในยามที่เขาหลับอยู่…." และฉันคิดว่ามันคงจะยิ่งบอบบางกว่านี้ เช่นเดียวกับที่ต้องป้องระวังตะเกียง: เพราะลมเพียงวูบเดียวก็ทำให้มันดับได้……
และขณะที่เดินไปเช่นนั้น ฉันก็พบบ่อน้ำตอนรุ่งสาง
๒๕
"พวกคนที่ไปอัดแน่นอยู่ในรถด่วนไม่ทราบว่าเขาต้องการอะไร ดังนั้นเขาจึงวุ่นวายและหมุนไปหมุนมา…"
และเขาก็กล่าวเสริมว่า:
"ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากเลย..."
บ่อน้ำซึ่งเราเดินไปถึงไม่เหมือนกับบ่ออื่น ๆ ในทะเลทรายซาฮารา ซึ่งตามธรรมดาจะเป็นแอ่งลึกลงไปในทราย บ่อนี้เหมือนกับบ่อน้ำตามหมู่บ้าน แต่ทว่าไม่มีหมู่บ้านในแถบนั้น ทำให้ฉันคิดว่าตัวเองคงฝันไป
"แปลกดี" ฉันกล่าวกับเจ้าชายน้อย "ทุกสิ่งมีพร้อม: ทั้งลูกรอก ถังน้ำ และเชือก"
เขาหัวเราะ จับเชือกและเล่นลูกรอก ลูกรอกส่งเสียงครวญครางเหมือนเสียงกังหันเก่า ๆ ยามลมนอนหลับไปนาน ๆ
"เธอได้ยินไหม?" เจ้าชายน้อยกล่าว "เราปลุกบ่อน้ำนี้ และมันร้องเพลง….."
ฉันไม่อยากให้เขาออกแรงมากเกินไป:
"ปล่อยให้ฉันทำเถอะ" ฉันบอกกับเขา "มันหนักเกินกำลังเธอ"
ฉันค่อย ๆ สาวถังน้ำขึ้นมาจนถึงขอบบ่อ ฉันจัดมันวางตั้งไว้อย่างดี เสียงลูกรอกกลิ้งเป็นเพลงยังคงก้องในหูของฉัน และในน้ำที่ยังคงกระเพื่อมอยู่นั้น ฉันมองเห็นดวงอาทิตย์สั่นพลิ้วอยู่
"ฉันอยากดื่มน้ำนั่น" เจ้าชายน้อยพูด "ขอฉันดื่ม….."
และฉันจึงเข้าใจสิ่งที่เขาตามหา!
ฉันยกถังน้ำขึ้นจรดริมฝีปากเขา เขาดื่ม นัยน์ตาหลับพริ้ม มันช่างหวานชื่นเหมือนงานฉลอง น้ำนี้ช่างแตกต่างจากอาหารชนิดอื่น มันเกิดขึ้นจากการเตินไปใต้ดวงดาว จากเสียงเพลงของลูกรอกและจากกำลังแขนของฉัน มันนำมาซึ่งความแช่มซื่นหัวใจเช่นเดียวกับของขวัญ สมัยเมื่อฉันเป็นเด็กเล็ก ๆ แสงสว่างที่ต้นคริสต์มาส ดนตรีของมิสซาเที่ยงคืน และยิ้มที่อ่อนหวานทำให้ของขวัญที่ฉันได้รับในโอกาสคริสต์มาสนั้นดูมีความหมายและมีคุณค่ายิ่งขึ้น
"คนในโลกของเธอ ปลูกดอกกุหลาบตั้งห้าพันต้นในสวนเดียว... และเขายังไม่พบสิ่งซึ่งเขาต้องการ……"
"เขาไม่พบมันหรอก" ฉันตอบ
"และทั้ง ๆ ที่สิ่งซึ่งเขาค้นหานั้น อาจจะหาพบได้ในดอกกุหลาบดอกเดียว หรือในน้ำเพียงเล็กน้อย……."
"แน่นอน" ฉันตอบ
เจ้าชายน้อยกล่าวเสริมอีกว่า:
"แต่ตาของคนเราบอดมืด สิ่งนั้นต้องค้นหาด้วยหัวใจ"
ฉันได้ดื่ม ฉันหายใจเต็มที่ ในยามรุ่งอรุณทรายมีสีน้ำผึ้ง ฉันเองก็มีความสุขที่ทรายเป็นสีน้ำผึ้ง ทำไมฉันจะต้องเป็นทุกข์…….
จากนั้น เจ้าชายน้อยกล่าวกับฉันหลังจากที่เขากลับลงนั่งข้างฉันอีกครั้งหนึ่ง "เธอต้องรักษาคำมั่นสัญญา"
"สัญญาเรื่องอะไร?"
"เธอรู้ดี…ปลอกปากสำหรับแกะของฉันอย่างไรเล่า ฉันต้องการรับผิดชอบดอกไม้นั่น!"
ฉันจึงล้วงภาพร่างออกจากกระเป๋า เจ้าชายน้อยแลเห็นเข้า จึงกล่าวพลางหัวเราะ:
"ต้นไทรของเธอ ดูเหมือนหัวกะหล่ำปลี…."
"โอ!"
ฉันออกแสนจะภาคภูมิใจในต้นไทรนั้น!
"สุนัขจิ้งจอกของเธอ….หูของเขา…มันดูเหมือนเขาสัตว์…และมันยาวเกินไปด้วย!"
และเขาก็หัวเราะอีก
"เธอไม่ยุติธรรม เด็กน้อย ฉันรู้จักวาดรูปงูมองจากข้างนอก และรูปงูชนิดมองเห็นทะลุข้างในได้เท่านั้น"
"โอ! ใช้ได้แหละ" เขากล่าว "เด็ก ๆ เข้าใจดี"
ฉันจึงร่างปลอกปาก ฉันรู้สึกไม่สบายใจขณะยื่นมันให้เขา:
"เธอมีโครงการซึ่งฉันยังไม่รู้รึ…."
เขาไม่ตอบ แต่กล่าวว่า:
"เธอรู้ดี เรื่องที่ฉันตกลงมาบนโลก…พรุ่งนี้ก็จะเป็นวันครบรอบ….."
หลังจากเงียบไปครู่ใหญ่เขาก็กล่าวว่า
"ฉันตกลงมาใกล้ ๆ นี่แหละ….."
และเขาหน้าแดง
ฉันรู้สึกใจคอหดหู่อย่างประหลาดอีกครั้งหนึ่ง โดยไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองจึงรู้สึกเช่นนั้น อย่างไรก็ตามคำถามหนึ่งได้ผุดขึ้นในความคิดฉัน:
"ถ้าเช่นนั้น เช้าวันที่ฉันรู้จักกับเธอก็มิใช่โดยบังเอิญสินะ เมื่อแปดวันก่อน ตอนที่เธอเดินเล่นอยู่คนเดียวในดินแดนซึ่งแสนไกลจากผู้คน! เธอเที่ยวกลับมาหาจุดที่เธอตกลงมาใช่ไหม?"
เจ้าชายน้อยหน้าแดงอีก
และฉันกล่าวเสริมอย่างลังเลว่า:
"อาจจะเป็นเพราะว่าถึงวันครบรอบกระมัง?…."
เจ้าชายน้อยหน้าแดงอีก เขาไม่เคยตอบคำถามใดเลย แต่เมื่อคนเราหน้าแดง ก็หมายความว่า "ใช่" มิใช่หรือ?
"อา! ฉันเกรงว่า….." ฉันกล่าวเสริมกับเขา
แต่เขาตอบฉันว่า:
"เธอต้องทำงานละ เธอต้องกลับไปหาเครื่องจักรของเธอ ฉันจะรอเธออยู่ที่นี่ พรุ่งนี้เย็นค่อยกลับมาใหม่…."
แต่ฉันไม่แน่ใจ ฉันยังจำเรื่องสุนัขจิ้งจอกได้ เราเสี่ยงต่อการร้องไห้เมื่อเราปล่อยตัวให้สร้างความสัมพันธ์ขึ้นมา…..
๒๖
ใกล้ ๆ กับบ่อน้ำ มีกำแพงหินเก่า ๆ เมื่อฉันกลับจากงานของฉันในตอนเย็นวันรุ่งขึ้น ฉันสังเกตเห็นเจ้าชายน้อยของฉันแต่ไกล เขานั่งห้อยเท้าอยู่บนกำแพงนั้น และฉันได้ยินเขากล่าวว่า:
"เธอจำไม่ได้รึ" เขากล่าว "ไม่ใช่ที่ตรงนี้ทีเดียวนักหรอก!"
อีกเสียงหนึ่งตอบเขาอย่างแน่นอน เพราะเขายืนยันว่า:
"ใช่แน่ วันนี้แหละ เพียงแต่ว่าไม่ใช่ตรงนี้เท่านั้น…."
ฉันเดินตรงไปยังกำแพง ฉันมองไม่เห็นหรือแม้แต่ได้ยินเสียงใครเลย อย่างไรก็ตาม เจ้าชายน้อยตอบอีกว่า:
"...แน่นอน เธอจะเห็นว่ารอยเท้าของฉันเริ่มที่ตรงไหนบนพื้นทราย เขาก็เพียงแต่รอฉันหน่อย ฉันจะไปหายังที่นั่นในคืนนี้"
ฉันอยู่ห่างจากกำแพงประมาณยี่สิบเมตรได้ และฉันก็ยังมองไม่เห็นอะไรเลยอยู่เช่นเดิม
เจ้าชายน้อยก็ยังคงกล่าวสืบไป หลังจากเงียบไปสักครู่:
"เธอมีพิษดีใช่ไหม? เธอแน่ใจว่าจะไม่ทำให้ฉันเจ็บปวดนาน ๆ นะ?"
ฉันหยุดยืนนิ่งงัน ใจเสียวสะท้าน ฉันยังไม่เข้าใจ
"ตอนนี้ไปเสียก่อน..." เขากล่าว "ฉันอยากจะลงละ!"
ดังนั้นฉันจึงลดสายตาลงมองที่เชิงกำแพง แล้วฉันก็รีบก้าวกระโดด! เจ้างูสีเหลืองซึ่งสามารถฆ่าคุณให้ตายได้ภายในสามสิบวินาที ขดชูคออยู่ตรงนั้น ใต้เจ้าชายน้อย ฉันรีบวิ่งเข้าไปพลางควานหาปืนพกในกระเป๋า เมื่อฉันทำเสียงดังเช่นนั้น เจ้างูก็ค่อย ๆ ลดตัวลงหายไปในทราย เหมือนสายน้ำพุที่แตกหายไปอย่างช้า ๆ หลบหนีไปตามซอกหิน โดยก่อให้เกิดเสียงกระทบเพียงเบา ๆ
ฉันมาถึงกำแพงพอดีรับร่างเจ้าชายน้อยซึ่งซีดเหมือนหิมะ
"เรื่องอะไรกันนี่! เธอพูดคุยกับงูหรือ ตอนนี้!"
ฉันแก้ผ้าพันคอสีทองของเขา แล้วชโลมน้ำตามใบหน้าและให้เขาดื่มน้ำ ตอนนี้ฉันไม่กล้าถามอะไรเขาอีก เขามองดูฉันอย่างเคร่งขรึม และกอดคอฉันแน่น ฉันได้ยินเสียงหัวใจของเขาเหมือนหัวใจที่ใกล้จะหยุดเต้นของนกที่ถูกใครบางคนยิงมา เขาบอกฉันว่า:
"ฉันดีใจที่เธอพบว่าเครื่องยนต์ของเธอขาดอะไร เธอจะได้กลับบ้านของเธอได้…"
"เธอรู้ได้อย่างไร!"
ฉันกำลังจะบอกเขาอยู่ทีเดียวว่าฉันได้ทำงานของฉันสำเร็จทั้ง ๆ ที่หมดหวังแล้ว!
เขาไม่ตอบ แต่กล่าวสืบไปว่า:
"ฉันเองก็เช่นเดียวกัน วันนี้ฉันจะกลับบ้านฉัน…"
และแล้ว อย่างเศร้าสร้อย เขากล่าวว่า:
"มันออกจะไกลมากทีเดียว….ออกจะยากมาก…."
ฉันรู้สึกว่ามีอะไรบางอย่างที่พิเศษเกิดขึ้น ฉันกอดเขาแน่นไว้ในวงแขนเหมือนเด็กเล็ก ๆ และถึงกระนั้นฉันก็รู้สึกเหมือนว่าเขาไหลลื่นลงไปในเหวซึ่งฉันไม่สามารถฉุดยื้อเขาไว้ได้เลย….
สายตาของเขาเคร่งขรึม และมองไกลออกไป:
"ฉันมีแกะของเธอ และฉันมีกรงใส่แกะ ฉันยังมีปลอกปากด้วย…."
และเขาก็หัวเราะอย่างเศร้า ๆ
ฉันรออยู่เป็นเวลานาน ฉันรู้สึกว่าตัวเขาค่อยอุ่นขึ้นทีละน้อย:
"เด็กน้อยเอ๋ย เธอกลัวรึ…."
เขากลัว แน่ละ! แต่เขาก็ยิ้มอย่างอ่อนหวาน:
"ฉันคงจะกลัวมากกว่านี้ในคืนนี้….."
ฉันรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นอีกครั้งหนึ่งด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก และฉันรู้ดีว่า ฉันไม่อาจทนความคิดที่ว่าจะไม่ได้ยินเสียงหัวเราะของเขาอีก เพราะมันเป็นเสมือนธารน้ำในทะเลทรายสำหรับฉัน
"เด็กน้อยเอ๋ย ฉันอยากได้ยินเธอหัวเราะอีก…"
แต่เขากล่าวกับฉันว่า:
"คืนนี้ก็จะครบปีหนึ่ง ดวงดาวของฉันจะโคจรมาอยู่ตรงตำแหน่งที่ฉันตกลงมาเมื่อปีที่แล้ว…" "เด็กน้อยเอ๋ย เรื่องงู กับเรื่องนัดพบ และเรื่องดวงดาวทั้งหมดนี้เป็นเพียงฝันร้ายมิใช่หรือ..."
แต่เขามิได้ตอบคำถามของฉัน เขากล่าวกับฉันว่า:
"สิ่งที่สำคัญนั้น ตามองไม่เห็นหรอก..."
"แน่นอน…"
"เช่นเดียวกับดอกไม้ ถ้าเธอรักดอกไม้ซึ่งอยู่บนดาวดวงหนึ่ง เธอจะรู้สึกเป็นสุขที่จะมองดูท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงดาวทุกดวงดูประหนึ่งว่ามีดอกไม้ประดับทั้งสิ้น"
"แน่นอน…."
"เช่นเดียวกับน้ำ น้ำซึ่งเธอให้ฉันดื่มก็เหมือนกับดนตรี ทั้งนี้เพราะต้องชักรอก ต้องใช้เชือก….เธอจำได้ไหม... มันแสนจะชื่นใจ"
"แน่นอน…"
"ในตอนกลางคืน เธอจะมองดูดวงดาว บ้านฉันเล็กเกินกว่าที่จะชี้ให้เธอเห็นได้ว่ามันอยู่ที่ใด ก็ดีอยู่หรอกที่มันเป็นเช่นนั้น เพราะว่าสำหรับเธอ ดวงดาวของฉันก็จะเป็นดาวดวงหนึ่งในบรรดาดาวทั้งหลาย ดังนั้นเธอจะชอบดูดาวทุกดวง….มันจะเป็นเพื่อนของเธอ และฉันจะให้ของขวัญแก่เธอ…."
เขาหัวเราะอีก
"อา! เด็กน้อยเอ๋ย ฉันชอบเสียงหัวเราะนี้!"
"นั่นแหละคือของขวัญของฉันละ... เช่นเดียวกับน้ำ..."
"เธอหมายความว่าอย่างไร?"
"คนเรามีดวงดาวที่ไม่เหมือนกัน สำหรับคนที่เป็นนักเดินทาง ดวงดาวก็จะเป็นผู้นำทาง สำหรับผู้อื่นมันเป็นเพียงแสงสว่างจุดเล็ก ๆ เท่านั้น สำหรับบรรดานักปราชญ์ ดวงดาวนั้นก่อให้เกิดปัญหา สำหรับนักธุรกิจของฉัน มันก็เป็นเสมือนทองคำ แต่ทว่าดวงดาวทุกดวงนิ่งเงียบ ส่วนเธอ เธอจะมีดวงดาวซึ่งยังไม่เคยมีใครมีเหมือน…."
"เธอหมายความว่ากระไร?"
"ขณะที่เธอมองดูท้องฟ้าตอนกลางคืน เพราะเหตุที่ฉันอาศัยอยู่ในดาวดวงหนึ่งในบรรดาดาวทั้งหลาย เนื่องจากฉันกำลังหัวเราะอยู่บนดาวดวงใดดวงหนึ่ง ฉะนั้นจึงดูประหนึ่งว่าดาวทุกดวงกำลังหัวเราะด้วย เธอก็จะมีดวงดาวที่หัวเราะได้!"
แล้วเขาก็หัวเราะอีก
"และเมื่อเธอหายเศร้าแล้ว (คนเรามักจะปลอบตนเองได้เสมอ) เธอจะยินดีที่ได้มารู้จักฉัน เธอจะเป็นเพื่อนของฉันตลอดไป เธอจะอยากหัวเราะกับฉัน และบางทีเธอจะเปิดหน้าต่างอย่างนี้เพื่อความสุขนั้น… และเพื่อน ๆ ของเธอจะประหลาดใจที่เห็นเธอหัวเราะพลางมองดูท้องฟ้า เธอก็จะบอกพวกเขาได้ว่า: 'จริง ๆ นะดวงดาวเหล่านี้ทำให้ฉันหัวเราะเสมอแหละ!' และพวกเขาก็จะคิดว่าเธอเป็นบ้า ฉันเล่นตลกกับเธออย่างร้ายทีเดียวนะ…."
และเขาก็หัวเราะอีก
"ก็เหมือนกับว่าแทนที่จะมอบดวงดาวให้เธอ ฉันได้ให้ลูกกระพรวนที่หัวเราะได้แก่เธอ…."
แล้วเขาก็หัวเราะอีก ต่อมาเขากลับเคร่งขรึม
"คืนนี้…เธอรู้ไหม…อย่ามานะ"
"ฉันจะไม่จากเธอไป"
"ฉันคงมีท่าทางเจ็บปวด…ฉันคงมีท่าทางจะตาย มันเป็นอย่างนั้นเองแหละ อย่ามาดูเลย อย่ามาให้ลำบากเลย..."
"ฉันจะไม่ยอมจากเธอไป"
แต่เขามีท่าทางเป็นกังวล
"ที่ฉันบอกเธอนี่…ทั้งนี้ก็เพราะงู เธอต้องไม่ให้มันกัดเธอนะ งูพวกนี้ใจร้ายนัก มันอาจจะกัดเอาเพราะสนุกก็ได้…"
"ฉันจะไม่จากเธอไป"
เขามีท่าทางมั่นอกมั่นใจอะไรสักอย่าง:
"จริงซี มันไม่มีพิษที่จะกัดอีกเป็นครั้งที่สอง..."
คืนนั้นฉันไม่เห็นตอนเขาออกเดินทาง เขาหายตัวไปโดยปราศจากสุ้มเสียง เมื่อฉันตามเขาไปทัน เขากำลังเดินดุ่ม ๆ อย่างรวดเร็ว เขาทักฉันแต่เพียงว่า:
"อา! เธอเองรึ..."
แล้วเขาก็จับมือฉัน ท่าทางกังวลใจ:
"เธอคิดผิด เธอจะเป็นทุกข์ เพราะฉันคงมีท่าทางเหมือนจะตาย ซึ่งอันที่จริงมิใช่ความจริง…."
ฉันนิ่งเงียบ
"เธอเข้าใจไหม มันไกลเกินไป เธอไม่สามารถแบกร่างที่หนักนี้ไปด้วยได้ มันหนักเกินไป"
ฉันคงนิ่งเฉย
"มันก็เหมือนกับเปลือกคราบเก่า ๆ ที่เราทิ้ง ไม่ใช้เรื่องน่าเศร้าเลยสำหรับการทิ้งคราบเก่า ๆ นี่..."
ฉันยังคงนิ่งเงียบ
เขาคงรู้สึกท้อใจ แต่ก็ยังคงพยายาม:
"เธอรู้ไหมว่าจะดีทีเดียว ฉันเองก็จะมองดูดวงดาว ดาวทุกดวงจะเป็นเช่นบ่อน้ำที่มีรอกเก่าขึ้นสนิม ดาวทุกดวงจะดูประหนึ่งเชื้อเชิญให้ฉันดื่ม…."
ฉันนิ่งเงียบ
"คงจะสนุกทีเดียว! เธอก็จะมีลูกกระพรวนห้าร้อยล้านลูก ฉันก็จะมีธารน้ำถึงห้าร้อยล้านเช่นกัน…."
กึงตอนนี้เขาเองก็นิ่งเงียบ เพราะว่าเขากำลังร้องไห้...
"ตรงนั้นแหละ ให้ฉันเดินไปคนเดียวเถิด"
แล้วเขานั่งลงเพราะเขากลัว
เขากล่าวว่า:
"เธอรู้ไหม…ดอกไม้ของฉัน... ฉันรับผิดชอบเขา! และเขาช่างอ่อนแอเสียนี่กระไร! เขาช่างไร้เดียงสา เขามีหนามเล็ก ๆ เพียงสี่หนามด้วยกันไว้ป้องกันตัวจากภัยทั้งหลาย…."
ฉันเองก็นั่งลงเพราะไม่สามารถจะยืนต่อไปได้ เขากล่าว:
"นั่นไง…แค่นี้เอง…"
เขาลังเลอยู่บ้าง แล้วเขาก็กลับยืนขึ้นมาใหม่ ก้าวไปข้างหน้า ส่วนฉันไม่สามารถกระดิกกระเดี้ยได้
มีแสงแวบสะท้อนสีเหลือง ๆ ใกล้ข้อเท้าของเขา เขายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่ร้องเลย แล้วค่อยล้มลงเหมือนต้นไม้ล้ม โดยไม่ได้ก่อเสียงแม้แต่เล็กน้อยเพราะพื้นเป็นทราย
๒๗
และบัดนี้ ล่วงมาหกปีเข้านี่แล้ว.. ฉันยังไม่เคยเล่าเรื่องนี้มาก่อนเลย เพื่อน ๆ พากันดีใจที่เห็นฉันมีชีวิตรอดกลับมา ฉันออกเศร้า ๆ แต่ฉันบอกกับเขาว่า: "เป็นเพราะฉันเหนื่อยเท่านั้นเอง…."
ตอนนี้ฉันปลอบตนเองให้คลายโศกเศร้าบ้างแล้ว แต่ว่า…ยังไม่หายเศร้าทีเดียวนัก ฉันทราบดีว่าเขากลับไปยังโลกของเขา เพราะว่าเช้าวันรุ่งขึ้น ฉันไม่พบร่างของเขา ร่างนั้นไม่หนักเกินไปนักหรอก… และฉันเองก็ชอบฟังเสียงดวงดาวยามค่ำคืน มันเหมือนลูกกระพรวนห้าร้อยล้านลูก….
แล้วจู่ ๆ ฉันก็นึกได้ว่า ปลอกปากซึ่งฉันวาดให้เจ้าชายน้อยนั้น ฉันลืมวาดสายคาดหนังให้ด้วย! ฉะนั้นเขาคงไม่สามารถคาดปลอกปากให้แกะของเขาได้ ฉันจึงสงสัยต่อไปว่า: "อะไรจะเกิดขึ้นที่บนดาวดวงนั้น? บางทีแกะอาจจะไปกินดอกไม้เสียก็ได้…"
แต่อีกใจหนึ่งฉันก็คิดว่า: "เป็นไปไม่ได้! เจ้าชายน้อยใช้ครอบแก้วคลุมดอกไม้ของเขาไว้ทุกคืน และเขาเฝ้าดูแกะของเขาเป็นอย่างดี…" ดังนั้นฉันจึงรู้สึกเป็นสุข และดาวทุกดวงก็หัวเราะค่อย ๆ กับฉัน
บางครั้งบางทีฉันก็รำพึงกับตัวเองว่า: "บางหนเราก็ขี้หลงขี้ลืมกันเหมือนกัน! ถ้าเย็นวันหนึ่งเขาลืมครอบแก้ว หรือเจ้าแกะย่องออกมาได้ในตอนกลางคืนเป็นเสร็จแน่.." ลูกกระพรวนก็ดูเหมือนจะร่ำไห้กันทั่วหน้า!..
นี่แหละคือความลับอันยิ่งใหญ่ คุณซึ่งรักเจ้าชายน้อยเช่นกันกับฉัน ไม่มีสิ่งใดในจักรวาลจะดูเหมือนกันไปหมด ถ้าหากว่ามีที่ใดที่หนึ่งซึ่งเราไม่รู้แน่ว่าหนใดนั้นมีแกะตัวหนึ่ง ซึ่งเราไม่ทราบว่ามันได้กินดอกกุหลาบเข้าไปหรือเปล่า….
จงมองดูท้องฟ้า จงถามตัวคุณเอง: เจ้าแกะกินดอกไม้ไปหรือเปล่านะ? แล้วคุณจะเห็นว่าทุกสิ่งทุกอย่างเปลี่ยนไปหมด…
และจะไม่มีพวกผู้ใหญ่คนใดเลยที่จะเข้าใจว่าสิ่งนั้นมีความสำคัญเพียงไร!
สำหรับฉัน ภาพนี้เป็นภาพที่งามที่สุด และเศร้าที่สุดในโลก ทั้ง ๆ ที่เป็นภาพเดียวกับภาพก่อน แต่ฉันวาดมันซ้ำอีก เพื่อชี้ให้คุณเห็นว่า ที่นี่เองซึ่งเจ้าชายน้อยได้ปรากฏบนโลกเรา และได้หายจากไป
จงมองภาพนี้อย่างตั้งอกตั้งใจ เพื่อจะได้แน่ใจว่าจะได้จำภาพนี้ได้ ถ้าหากวันหนึ่งคุณมีโอกาสเดินทางไปในแอฟริกา ในทะเลทราย และถ้าบังเอิญคุณมีโอกาสผ่านไปทางนั้น ฉันขอร้องคุณอย่ารีบร้อนไป รอสักครู่หนึ่งตรงจุดใต้ดวงดาวนั้น! ถ้าหากมีเด็กเล็ก ๆ คนหนึ่งมาทักคุณ ถ้าเขาหัวเราะ ถ้าเขามีผมทอง ถ้าเขาไม่ตอบคำถามของคุณเวลาคุณถาม คุณจะเดาได้ทันทีว่าเขาคือใคร ได้โปรดกรุณาเถิด! ช่วยส่งข่าวถึงฉันด่วนว่าเขากลับมาแล้ว... อย่าปล่อยให้ฉันเศร้าโศกต่อไปอีกเลย